Tuesday, April 7, 2009

17 เคล็ดไม่ลับปรับตัวรับซัมเมอร์

  1. ป้องกันอาการขาดน้ำด้วยการดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว
    หรือแบบปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ สมุนไพร เยอะๆ เพราะหน้าร้อน ร่างกายภายในจะมีอุณหภูมิสูง และขับเหงื่อออกมามาก จนอาจทำให้คุณช็อกหมดสติ

  2. หลีกเลี่ยงน้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัด
    เพราะอาจทำให้อุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงเร็วจนไม่สบาย

  3. ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก
    ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่นแจ่มใส อาจทำให้เป็นหวัดได้

  4. อย่างดอาหารเช้า
    เพราะร่างกายต้องการอาหารเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญ ซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำหนัก ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง ของทอด ของมัน

  5. หญิงตั้งครรภ์ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด
    เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอระวังอย่าให้เป็นหวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดจนเกินไป

  6. คนสูงอายุมักมีระบบย่อยที่ไม่ดี
    และคนที่มีม้ามบกพร่อง ถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไปจะเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย ทำให้ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน

  7. เลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ Mexoryl และ Tinosorb
    เพราะสามารถกรอง รังสียูวีเอและยูวีบี ได้ดี เช่น Vichy, Nivea และ Ambre Solaire จาก Garnier

  8. หากผิวแสบร้อนจากการโดนแดด บรรเทาได้ด้วยการกินยาแอสไพริน
    แล้วแช่ตัวในอ่างน้ำอุณหภูมิห้อง ผสม Bath Oil จากนั้นบำรุงผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ และหลีกเลี่ยงแดดในวันถัดไป

  9. ทำสเปรย์บรรเทาผิวไหม้เกรียมอย่างง่ายๆ ด้วย น้ำกรองบริสุทธิ์ 2 ออนซ์
    ใส่เอสเซนเชียลออยล์กลิ่นลาเวนเดอร์ 9 หยด กลิ่นเปปเปอร์มินต์ 2 หยด และสเปียร์มินต์ 1 หยด ผสมรวมกันแล้วใส่ในขวดสเปรย์ พกติดตัวและฉีดพรมเมื่อมีอาการ

  10. เลือกเครื่องสำอางแบบครีม
    ที่มีเนื้อแห้งเหมือนแป้ง หากหน้ามันปัดทับด้วยบรอนเซอร์หรือแป้งฝุ่น

  11. ควรเลือกใส่เสื้อผ้าเนื้อเบาสบาย
    ระบายอากาศได้ดีอย่างผ้าฝ้ายธรรมชาติ ที่หลวมกระชับตัว

  12. หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้น้ำตาลสูง
    อย่างอาหารจำพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรต และผลไม้รสหวานจัด เพื่อควบคุม ระดับพลังงานที่มากเกินไปจนส่งผลต่ออุณหภูมิสูงจากภายในของร่างกาย

  13. ป้องกันแมลงกัดต่อยซึ่งมีชุกชุมในฤดูร้อน
    ด้วยการเลือกทาผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากพืชสมุน ไพรธรรมชาติ

  14. เลือกแว่นกันแดดขนาดใหญ่ที่ให้การปกปิดมิดชิด
    กระชับใบหน้า เพื่อป้องกันรังสียูวีบีจากการเกิดต้อกระจกในดวงตา และผิวไหม้เกรียม ริ้วรอยรอบดวงตา

  15. อย่าเข้าใจผิดว่ายิ่งเข้มยิ่งดี
    สีของเลนส์ในแว่นกันแดดไม่ได้ช่วยในการปกป้องรังสี เพราะประสิทธิภาพสำคัญเกิดจากสารเคมีที่เคลือบเพื่อสะท้อนรังสี

  16. คอนแทคเลนส์ไม่ช่วยอะไร
    โดยเฉพาะรุ่นที่เคลมว่าสามารถดูดซับรังสีได้ เพราะอย่างไรก็ด้อยประสิทธิภาพกว่าแว่นกันแดด ดังนั้นจึงไม่อาจใช้แทนกันได้

  17. ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด
    ที่น่าเลือกมากที่สุดในปัจจุบัน ควรมีคุณสมบัติบางเบา ซึมซาบไว ติดทนนาน และมีส่วนผสมของสารประกอบจากไทเทเนียม หรือซิงค์ออกไซด์
ที่มา FW Mail


6 วิธี เสริมภูมิ...ต้านโรค

  1. ลดความเครียด อารมณ์เครียดจะส่งผลเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดลงจึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย จึงไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเครียด

  2. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนไม่พอนั้นมีผล ลดการสร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี โดยการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก ในผู้ที่นอนหลับคืนละ 7 ชม. เป็นเวลา 4 วัน แล้วให้วัคซีนไข้หวัด พบว่าคนกลุ่มนี้จะสามารถสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิต้านทานต่อเชื้อไข้หวัดได้มากกว่าผู้ที่นอนหลับคืนละ 4 ชม. ถึง 50%

  3. ดื่มน้ำเปล่ามากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว น้ำจะช่วยเพิ่มสารคัดหลั่งและความชุ่มชื้นของเยื่อบุผิวในท่อทางเดินหายใจส่วนบน ที่จะช่วยป้องกัน และดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย

  4. ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นประจำ นอกจากช่วยให้กล้ามเนื้อร่างกายแข็งแรง แล้ว ยังช่วยขับของเสียผ่านทางเหงื่อ และเพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือดทำให้เซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี และเม็ดเลือดขาว เดินทางไปทำลายสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคที่บริเวณอวัยวะต่างๆ ได้เร็วขึ้น

  5. รับประทานอาหารให้ครบถ้วน เพียงพอตามหลักโภชนาการ โดยเฉพาะอาหารเสริมภูมิต้านทาน อย่างเช่น ผัก ผลไม้ ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี และแร่ธาตุบางชนิด ได้แก่ ซีลีเนียม และสังกะสี ซึ่งมีผลเพิ่มการสร้างเซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และอี ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ต่างๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระอันเป็นตัวการก่อมะเร็งได้อีกด้วย
    เบต้าแคโรทีน มีมากในผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือส้มจัด หรือผักใบเขียวจัด เช่น ผักบุ้ง ฟักทอง แครอท มะละกอ มะม่วงสุก มะเขือเทศ

    วิตามินซี พบใน ผักใบเขียวต่างๆ และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม

    วิตามินอี พบใน น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว

    วิตามินบี พบใน ผักใบเขียว นม เนื้อสัตว์ ถั่วต่างๆ ตับ ไข่ และธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ

    ซีลีเนียม พบใน อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ และธัญพืช

    สังกะสี พบใน เนื้อวัว นม และถั่วต่างๆ

    กระเทียม เป็นเครื่องเทศที่มีฤทธิ์เสริมภูมิต้านทาน โดยสารอัลลิซิน (allicin) และซัลไฟด์ (sulfides) ในกระเทียมจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

    กรดโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับการ สร้างเม็ดเลือดขาว และแอนติบอดี พบมากในปลาทะเล เช่น แซลมอน หรือทูน่า และธัญพืชบางชนิด เช่น ถั่ววอลนัท เมล็ดปอ รวมทั้งพืชผักใบเขียว โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์แลคโตแบคทีเรีย (lactobacteria) เช่น แลคโตบาซิลัส แอซิโดฟิลัส (Lactobacillue acidophilus) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยจะยับยั้งการเกิดจุลินทรีย์ตัวร้ายในระบบย่อยอาหาร เช่น แบคทีเรีย รา หรือยีสต์ รวมทั้งยังกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวและแอนติบอดี ให้กำจัดเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  6. หลีกเลี่ยงอาหาร หรือพฤติกรรมที่ส่งผลให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลง เช่น เลี่ยงการกินอาหารหวานจัด ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เกินวันละ 2 แก้ว และควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนเกินไป
ที่มา FW Mail


อันตรายของคนทานรสหวาน

ทานอาหารรสหวาน ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังนี้
  1. ร่างกายสูญเสียวิตามินบีเพื่อเผาผลาญน้ำตาลในเซลล์ นานเข้าทำให้สมองมึนงง หงุดหงิดง่าย
  2. ตับอ่อนจะได้รับการกระตุ้นอยู่เรื่อย ๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
  3. แคลอรีที่ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคอ้วนและไตรกลีเซอไรด์สูง มีผลไปเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ อัมพาต
  4. น้ำตาลที่เหลือในเซลล์จะถูกเปลี่ยนเป็นอัลดีไฮด์ มีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้เซลล์ร่างกายเสื่อมเร็ว
รู้อย่างนี้แล้ว คนที่ชอบทานหวาน ก็ควรทานให้น้อยลง เพื่อสุขภาพที่ดี.

ที่มา FW Mail



,

ดูแล และ ทำความสะอาดผิวด้วย "ขมิ้นสด"



ขมิ้นเป็นสมุนไพรธรรมชาติ นอกจากจะนำมาปรุงอาหารแล้ว ยังสามารถทำให้สวยได้อีกด้วย วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีทำมาฝากกัน...

ส่วนผสม
  • ขมิ้นสด (เล็กน้อย)
  • ดินสอพอง 2-3 เม็ด
  • มะนาว 1 ผล
วิธีทำ
นำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปั่นรวมกับดินสอพองและมะนาวจนละเอียด รวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้น และเหนียว นำมาพอกกับหน้าที่สะอาดก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วย ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงเดือนจะสังเกตเห็นว่าผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงจนสามารถสังเกตได้

ถ้าใครอยากมีผิวหน้าที่ดูดี ก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

ที่มา FW Mail