Thursday, November 22, 2007

Capal Tunnel Syndrome (CTS)

Wednesday, November 21, 2007

แพทย์จีนเตือน “มนุษย์ไอที” เสี่ยงโรคตับ และ ถุงน้ำดี

ซีน่าเน็ต – ผลการวิจัยจากโรงพยาบาลในฉงชิ่งชี้ การทำงานไอที มักจะต้องอยู่กับสิ่งที่มีรังสี อีกทั้งไม่สามารถดูแลสุขภาพ จนเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆโดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับตับและถุงน้ำดี พร้อมแนะให้บุคคลในกลุ่มเสี่ยงออกกำลัง และพักผ่อนให้เพียงพอ

หัวหน้า วิศวกรด้านซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์คนหนึ่งได้อธิบายถึงปัญหาเรื่องสุขภาพที่มี ผลต่องานด้านไอทีเอาไว้ว่า "ในช่วงเวลาที่เริ่มมีผู้ประสบความสำเร็จจากธุรกิจด้านไอทีมากขึ้น จนทำให้มีการแข่งขันอย่างดุเดือด และการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆเริ่มยากขึ้น จึงมีแต่คนที่ชอบความท้าทาย มีสุขภาพจิตที่แข็งแรง บวกกับสภาพร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้นจึงจะสามารถรับผิดชอบงานในด้านนี้ได้"

ทว่า จากรายงานผลการวิจัยของโรงพยาบาลในฉงชิ่ง ได้ระบุว่า จากการที่ต้องทำโอทีอยู่บ่อยๆ บวกกับวิถีการดำรงชีวิตที่ไม่เป็นระเบียบ ทำให้เกิดปัญหาเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตับ และถุงน้ำดี

ยก ตัวอย่างเช่นในเดือนพ.ย. มีบริษัทด้านไอทีแห่งหนึ่ง นำพนักงานจำนวน 285 คนมาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล ซึ่งในพนักงานเหล่านี้ ส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยรุ่น โดยมีบุคคลที่อายุมากกว่า 45 ปีเพียง 2 คนเท่านั้น แต่ผลกลับปรากฏว่า มี 212 คน หรือคิดเป็น 74% ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ โดยผู้ที่เป็นโรคไขมันในตับสูงมี 40 คน ตับเสื่อม 28 คน มีก้อนเนื้อในถุงน้ำดี 21 คน ความดันสูง 18 คน เป็นพาหะไวรัสตับบี 14 คน นอกจากนั้นก็จะมีไซนัส เม็ดเลือดน้อย หรือนิ่วเป็นต้น

เนื่องจาก ลักษณะพิเศษของผู้ที่ทำงานด้านไอที มักจะมีจังหวะชีวิตที่เร็ว ทำงานเหนื่อย มีความกดดันทางด้านจิตใจ และเผชิญหน้ากับการแข่งขันตลอดเวลา อย่างโปรแกรมเมอร์ที่ทำหน้าที่ออกแบบเว็บไซต์ บ่อยครั้งที่จะต้องทำโอทีในช่วงสุดสัปดาห์ นักวิเคราะห์ระบบ ต้องควบคุมเครื่องตลอด 24 ชั่วโมง บุคคลเหล่านี้มักจะใช้เวลาทานข้าวเพียง 15 นาที แถมยังชอบเอาไปทานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ จนเกิดปัญหากินไม่เป็นเวลา กินดื่มอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นการบ่มเพาะโรคให้กับตัวเอง บวกกับการทำงานของประสาทที่ตึงเครียด จนทำให้หลายคนรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ในที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ รู้สึกแย่เมื่อเจอคอมพิวเตอร์ที่เข้าอินเตอร์เน็ตไม่ได้ หรือเมื่อออกห่างจากคีย์บอร์ด นิ้วก็จะต้องเคาะนู่นเคาะนี่ไปเรื่อย

นาย แพทย์หวังหย่งหง หัวหน้าศูนย์ตรวจสุขภาพของโรงพยาบาลในฉงชิ่งได้ระบุว่า "งานด้านไอทีส่วนใหญ่จะคัดสรรค์บุคคลจากกลุ่มวัยรุ่น หรือกลุ่มคนที่อายุไม่มากนัก ดังนั้นบุคคลกลุ่มนี้จะต้องให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย และป้องกันโรคต่างๆอันอาจเกิดกับตับและถุงน้ำดี โดยเฉพาะเมื่อพบว่าพนักงานมีอาการป่วย ทางบริษัทควรจะรีบส่งไปทำการตรวจและรักษา"

ทั้งนี้ ตับเสื่อม มักจะเกิดจากการดื่มสุราจำนวนมาก การทานยาติดต่อนานๆ ติดเชื้อ หรือเกิดจากการที่เหนื่อยจนเกินไป และสัมผัสกับสิ่งที่มีรังสีมากจนเกินไป ดังนั้นจึงควรจำกัดการดื่มเหล้า ระมัดระวังการใช้ยา หาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ และไม่อยู่ในที่ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์นานจนเกินไป


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์



Powered by ScribeFire.

Thursday, November 15, 2007

"หัวปลี" อาหารดีๆ รักษาโรคกระเพาะ



"108 เคล็ดกิน"
วันนี้มีเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับต้นไม้สารพัดประโยชน์มาฝากกันอีกแล้ว คราวนี้เป็นเรื่องของ "หัวปลี" ซึ่งถือว่าเป็นดอกของต้นกล้วย ซึ่งจะเติบโตไปเป็นผลกล้วยต่อไป มีคนนิยมนำหัวปลีมาทำเป็นอาหารกันมาก และกินได้ทั้งแบบดิบหรือสุก แบบดิบก็มักจะมาในรูปของผักที่เป็น เครื่องเคียง เช่นในผัดไทยเป็นต้น รสชาติจะฝาดๆ แต่ถ้านำไปปรุงให้สุก ไม่ว่าจะเป็นต้มยำหัวปลี แกงไก่ใส่หัวปลี รสชาติก็จะนุ่ม มีรสหวานนิดๆ อร่อยดี

ในเรื่องประโยชน์ของหัวปลีนั้นก็มีหลายอย่าง เช่นถือเป็นอาหารบำรุงน้ำนมของผู้หญิงที่กำลังมีบุตร ดังนั้นคุณแม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูกก็ควรจะกินอาหารที่มีหัวปลีเป็นส่วนประกอบให้มากๆ ระหว่างที่ยังให้นมลูก และนอกจากนั้นก็ยังมีแร่ธาตุอย่างธาตุเหล็กอยู่มากอีกด้วย

และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีผลวิจัยพบว่าหัวปลีนั้นยังช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้ด้วย โดยการทดลองนั้นพบว่าการใช้สารสกัดจากหัวปลีสามารถป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้มากถึง 47.88-87.63% โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกิดแผลในกระเพาะอาหารจากการดื่มสุราอยู่เป็นประจำ


ที่มา ผู้จัดการ Online


Powered by ScribeFire.

ลาก่อน "เส้นเลือดขอด"

การนั่งรถหรือนั่งทำงานเป็นวันๆ โดยไม่ค่อยได้ลุกเดินหรือเปลี่ยนอิริยาบถบ้างนั้น เป็นการทำร้ายขาและเท้าของคุณอย่างไม่รู้ตัว การนั่งอยู่เฉยๆ เป็นเวลานานๆ คือสาเหตุหลักของกการเกิดเส้นเลือดขอด เนื่องจากอิริยาบถดังกล่าว ทำให้เส้นเลือดขอด เนื่องจากอิริยาบถดังกล่าวทำให้เส้นเลือดที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงขาไม่สามารถไหลเวียนกลับขึ้นสู่หัวใจได้สะดวก ซึ่งอาการเช่นนี้จะส่งผลให้หลอดเลือดขาโป่งพอง หรือขอดขด จนอาจไปดันเซลล์และอวัยวะส่วนอื่นที่อยู่ใกล้เคียง เหตุนี้จึงทำให้คุณรู้สึกปวดเมื่อยขา และขาบวมขึ้น อย่างไรก็ดีหากคุณรู้จักดูแลขากับเท้าในทางที่ถูกที่ควร อาการดังกล่าวก็จะไม่เกิดขึ้นกับคุณ

เคล็ดลับสำหรับขาสวย

  • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร โดยเฉพาะสาวทำงานออฟฟิศ ถึงแม้วันๆคุณแทบไม่ได้เสียเหงื่อเพราะอยู่แต่ในห้องแอร์นั้นแห้งยิ่งกว่าข้างนอกอีก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องตื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันให้เลือดในร่างกายไม่เข้มข้นเกินไปจนไหลเวียนไม่สะดวก ทั้งนี้ในปริมาณ 2 ลิตรของน้ำที่ดื่มอาจเป็นน้ำผลไม้ น้ำผักสมุนไพร น้ำนม หรือน้ำซุปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำเปล่าธรรมดา แต่ก็ไม่ควรเป็นเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ เพราะเครื่องดื่มดังกล่าวจะยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น

  • อย่านั่งนานเกินไป ควรหมั่นลุกเดินขยับแข้งขยับขาเคลื่อนไหวไปมาบ้าง สำหรับผู้ที่ต้องขับรถตลอดทั้งวัน ควรแวะพักเพื่อเดินยืดแข้งขาบ้างเป็นระยะ หรือไม่เช่นนั้นก็ควรบริหารเท้าด้วยท่าง่ายๆทุกๆชั่วโมง อย่างเช่น หมุนข้อเท้า หุบและยกนิ้วเท้าขึ้นลงไปมา และถ้าหากเป็นไปได้ควรหาแถบยางยืดที่มีลักษณะเป็นวงไว้สำหรับช่วยบริหารเป็นประจำทุกวัน

  • ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่คับ หรือรัดเข็มขัดแน่นเกินไป เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก

  • นอนในท่าที่ถูกต้อง ไม่นอนตัวงอคุดคู้ และควรปล่อยให้ขาเหยียดตรง

เลือดที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงขา ไม่อาจจะไหลย้อนกลับขึ้นสู่หัวใจได้หมด แต่คงคั่งค้างอยู่ตามกระเปาะของหลอดเลือดที่โป่งตัวอยู่ ซึ่งการโป่งตัวดังกล่าวนอกจากจะไปดันเซลล์หรืออวัยวะส่วนอื่นแล้ว เลือดที่ไปคั่งค้างอยู่ตามกระเปาะของหลอดเลือดยังอาจเกิดการจับตัวเป็นก้อน และขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือดมากขึ้น

แบบทดสอบ
ลองมาเช็คดูว่า เรียวขาของคุณเริ่มมีอาการของเส้นเลือดขอดกันบ้างหรือเปล่า โดยการตอบ ใช่ และ ไม่ใช่ ในแต่ละข้อ
  1. บางครั้งจู่ๆขาของคุณก็ปวดเกร็งและชาๆโดยไม่ทราบสาเหตุ
  2. ทุกๆเย็น คุณมักจะรู้สึกว่าขาของคณอ่อนล้าจนแทบก้าวขาไม่ได้
  3. บ่อยครั้งคุณมักจะมีอาการชาและเท้าปวดบวมอย่างเห็นได้ชัด
  4. วันไหนที่อากาศร้อนอบอ้าว ตกเย็นขาของคุณมักจะมีอาการบวมขึ้น
  5. ขาของคุณจะค่อยๆหายบวมและปวดเกร็งได้ก็ต่อเมื่อคุณเดินไปเดินมา หรือไม่ก็นอนยกขาสูง หรือพาดขากับผนัง
  6. คุณสามารถมองเห็นเส้นเลือดขาที่โป่งโปนขึ้นเป็นเส้นสีเขียวๆได้อย่างชัดเจน
  7. คุณมักจะรู้สึกว่าร้องเท้าของคุณเล็กลงเรื่อยๆ
  8. พ่อแม่พี่น้องของคุณก็มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดขาด้วยเหมือนกัน
  9. คุณมักจะรู้สึกคันผิวยุกยิกที่บริเวณต้นขา หลังข้อพับขา หรือข้อเท้าเสมอๆ
ประเมินผล
หากคุณตอบ ใช่ อย่างน้อยตั้งแต่ 4 ข้อขึ้นไป คุณควรจะปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญด้านหลอดเลือดขาได้แล้ว เพราะจากอาการดังกล่าวแสดงว่าหลอดเลือดที่ขาของคุณมีปัญหา นอกจากนี้คุณควรหมั่นบริหารขาเป็นประจำด้วย เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงขาและเท้าของคุณได้ดีขึ้น


Powered by ScribeFire.

Wednesday, November 14, 2007

แอสไพรินกับการรักษาสิว

เมื่อไม่นานมานี้ กระแสการรักษาความงามในinternet ได้มีแนวทางการรักษาสิวแบบใหม่(จริงๆเก่า) ออกมา นั่นคือ การรักษาสิวด้วยการใช้ยา"แอสไพริน"
แอสไพริน ยาที่ทางการแพทย์ใช้เป็นยาลดอาการอักเสบและกินป้องกันเส้นเลือดหัวใจอุดตันเม็ดละ50สต.แหละครับ

ปัญหาที่เกิดตามมาคือ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาปากต่อปาก บางครั้งทำให้มันดูลึกลับ ดูเหมือนกับเป็นการรักษาแบบใหม่ ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่
แต่มันเป็นวิธีการที่ใช้กันมานานแล้วในวงการความงามเพียงแต่ไม่ได้ทำอย่างที่ในinternetเล่า
อีกปัญหานึงคือในการรักษาแบบ"มหัศจรรย์ราคาถูก"ในinternet ไม่ได้บอกที่มาที่ไป และเล่าแต่ด้านดีเพียงด้านเดียว ... ผมจึงเห็นว่าสมควรที่จะต้องเอาความรู้เรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังให้ชาวMthaiได้รู้กันไว้

ปัญหาเรื่องสิว เป็นปัญหาที่วัยรุ่นส่วนใหญ่จะได้เจอ สาเหตุหลักๆของสิว มีอยู่สองสามอย่างได้แก่
  1. การติดเชื้อ(โดยเฉพาะเชื้อ P. acne)
  2. รูขุมขนอุดตัน
  3. ฮอร์โมน ดังนั้น เวลาคุณไปรักษาที่คลินิกความงาม คุณมักจะได้ยา3-4พวกได้แก่
    • กลุ่มยาฆ่าเชื้อ ที่เจอบ่อยๆ ClindaM หรือยา Clindamycin ... บางคนก็จะได้ยาพวก Doxycyclineมากิน .... โดยทั่วไปแล้วทางสถานเสริมความงามจะจ่ายยาที่เป็น Broad spectrum antibiotic หรือยาฆ่าเชื้อที่ออกฤทธิ์กว้างขวาง ฆ่า เชื้อได้สัพเพเหระ
    • กลุ่มผลัดเซลล์ผิว เช่น Retin A เร่งให้เซลล์เก่าถูกผลัดไป เซลล์ใหม่ขึ้นมาแทน
    • กลุ่มกัดเซลล์ผิวเก่า (แก้รูขุมขนตัน) เช่น BHA, AHA, Benzoyl Peroxide พวกนี้จะไปกัดเอาผิวที่ตายแล้วออกไป ทำให้ผิวอ่อนๆข้างล่างเด่นขึ้น รวมทั้งกันไม่ให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
    • กลุ่มฮอร์โมน เช่นยาคุม (ซึ่งถ้าจะให้บอก ผมไม่มีความรู้ทางด้านยาคุมกับการรักษาสิวเลยครับ)

    ซึ่งหลายคนไม่อยากเสียเงินกับการรักษาพวกนี้ ก็จะมีวิธีที่ใช้กันมานานนมแล้ว คือ ฝานผลไม้แปะหน้าเช่นแตงกวา ส้ม มะนาว ..... บางคนไปพลิกดูส่วนผสมที่หลังขวด ยารักษาสิว ไปเห็นว่ามีsalicylic acid หรือ aspirin ก็ลองเอามาทดลองดู
    ซึ่งความจริงแล้วกลุ่มยาที่มีส่วนทำให้ผิวหน้าดูดีพวกนี้ก็มี BHA AHAครับ
    AHA เป็นพวกกรดกลุ่มต่างๆ เช่น
    Malic acid กรดในแอปเปิ้ล
    Citric กรดที่เจอในพวกกลุ่มผลไม้ซิตรัส เช่นส้มมะนาว
    Tartaric acid กรดที่มีในองุ่น และ กล้วย
    Lactic acid กรดที่ได้จากพวกนมเปรี้ยว (555)
    ... มันมีอีกตัวสองตัว ลืมไปแล้ว
    BHA มีตัวเดียวคือ salicylic acid

    ในทางการแพทย์เราใช้สารกลุ่มนี้ในการรักษาหน้า ซึ่งสรรพคุณของมันคือการทะลวงเข้าไปในชั้นผิวหนังส่วนบนหรือที่เรียกว่า Epidermis จากนั้นก็จัดการกัดทำลายและทำให้มันหลุดออกจากกัน เรียกง่ายๆว่าเป็นการขัดขี้ไคลโดยไม่ต้องออกแรง ใช้น้ำยาไปกัด ในทางการแพทย์ก็มีการใช้สารพวก AHA BHA และกรดบางชนิดในการทำความสะอาดผิวหน้า สูตรความงามของคนทั่วโลก ก็มีการเอาผลไม้ต่างๆมาฝานตัดแปะหน้า แตงกวา มะนาว ส้ม กล้วย Fruit salad นมเปรี้ยว บัวหิมะ ฯลฯ .... ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ส่วนหนึ่งมันก็คือAHAที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งโดยปกติจะมีอยู่ในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำจนใช้ได้ปลอดภัยไม่ทำลายผิวหน้า สำหรับการใช้salisylic acid ก็มีการใช้มานานแล้วครับ อยู่ในสูตรยาของร้านเสริมความงามทั่วไปและคลินิกความงาม บางทีเหนือกว่าaha เรื่องความระคายเคือง เพราะว่ามันเป็นยาลดอาการอักเสบด้วย เวลาใช้จะรู้สึกว่าไม่กัดมาก

สรุปข้อแรก
********* การใช้ยาแอสไพริน จึงได้ผลจริง ************

แต่ รู้ไหมครับ ทำไมเราไม่ใช้กันบ่อย สาร พวกนี้ เป็นสารควบคุม พวกกลุ่มสารที่ทำหน้าเด้ง เบบี้เฟส AHA จะมีการควบคุมการนำเข้า ...แต่สำหรับ BHA คุมยากจนถึงคุมไม่ได้ เพราะว่าแอสไพรินเป็นยาสามัญที่ใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและเป็นกลุ่มยาลดไข้แก้ปวดตัวนึง

ถามว่าทำไมต้องคุม
เพราะถ้าใช้ไม่เป็นหน้าจะพัง

สารพวกนี้ ตอนใช้แรกๆจะได้ผลดีมาก ใช้ปุ๊บมันจะทะลวงเข้าไปกำจัดขี้ไคลที่หมักหมมจำนวนมากจากหน้า วันแรกที่ใช้จะรู้สึกหน้าเด้งตึง หลังจากนั้นไม่มีขี้ไคลแล้ว ก็จะรู้สึกพอๆเดิม แต่ถ้าใช้ติดต่อกันนานไป หรือผสมผิดสูตรเข้มเกิน หรือทาทิ้งไว้นานเกินไป มันจะกัดหน้าครับ แทนที่จะกัดขี้ไคล มันจะกัดหน้าเนียนๆเข้าไปด้วยอย่างเบาะๆก็ตึงเจ็บอักเสบ ถ้าโชคไม่ดี กัดจนหน้าเป็นรอยด่างขาว vitiligo เป็นอันจบเห่ เพราะถ้าเกิดด่างขาวขึ้นก็คือกัดเข้าถึงชั้น dermisส่วน melanocyteหรือเซลล์ที่สร้างเม็ดสีผิว .... กว่าจะหายได้ก็ใช้เวลาเป็นปี ปัญหานี้จะไม่ค่อยพบในเครื่องสำอางค์ เพราะว่าส่วนผสมเขาศึกษามาแล้ว ความเข้มข้นก็ไม่ค่อยสูง และก็มีวิธีการใช้ที่ค่อนข้างแน่นอนระบุไว้

สรุปข้อสอง
***************** ถ้าผสมผิดหรือใช้ไม่ถูกวิธี หน้าพัง Chipหายวายป่วง ************

โดยสรุปแล้วสารเหล่านี้ ไม่ใช่สารพิเศษอะไรเลย เป็นสิ่งที่มีอยู่รอบตัวเราในปัจจุบัน ไม่ว่าจะAHAซึ่งมีในผลไม้และอาหารทั่วไป หรือจะเป็นBHAซึ่งก็หาซื้อได้ในราคาถูก เพียงแต่ว่าการจะนำมาใช้ในเครื่องสำอางค์ หรือเวชสำอางค์ ได้รับการค้นคว้าวิจัยปรับปรุงความเข้มข้นและศึกษาการดูดซึมและมีการใช้ที่แน่นอน ... ซึ่งผลก็คือ ราคาของมันจึงสูงตามไปด้วย ดังนั้นอ่านแล้วขอให้นำไปตรึกตรองครับ ถ้าอยากสวยอยากงาม ความเสี่ยงต่ำ ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่อาจจะแพงสักหน่อย
แต่ถ้าไม่อยากเสียเงินมาก แต่หวังผลมากอย่างเช่นการใช้แอสไพริน ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น

คุณเลือกเองได้ครับ

-=Byหมอแมว=-


Powered by ScribeFire.

เหล้าทำอะไรกับตับของคุณบ้าง

เรื่องการดูแลสุขภาพถือเป็นเรื่องที่เร้นลับอย่างหนึ่งที่ผมเองยังไม่ใคร่เข้าถึงนัก ผู้ป่วยหรือผู้ที่มารับการรักษาหลายคนที่โรงพยาบาล จะมีความกังวลเรื่องยาและอาหารอยู่เนืองๆ
ผู้ป่วยหลายรายมีความกังวลใจว่ายาที่'จำเป็น'ต้องกินเพื่อป้องกันโรคร้ายแรง จะมีผลต่อตับ
ผู้ป่วยหลายคนกังวลว่าอาหารที่กินในแต่ละวันจะมีผลต่อตับ
ผู้ป่วยบางรายไปเจาะเลือดและเอาผลเลือดมาให้ดูบอกว่าตับเริ่มไม่ดี จะขอหยุด ยารักษาโรคดังกล่าวและขอรับยาบำรุงตับ
น่าแปลกคือหลายรายที่กังวลแบบนี้ เมื่อซักประวัติได้ความว่ายังดื่มเหล้า ... ส่วนใหญ่จะไม่คิดว่าเหล้าเป็นสาเหตุของเรื่องตับผิดปกติ แต่จะคิดว่ายาเป็นสาเหตุหลักมากกว่า

วันนี้จะขอเล่าเรื่องเหล้าที่มีผลต่อตับของแต่ละคน เพื่อจะได้รู้ว่ากินเข้าไปแล้วมันมีผลอะไรบ้าง

- เหล้าที่เรากินอยู่เป็นสารเคมีจำพวกแอลกอฮอล์ ในแง่ของสารอาหารจัดเป็นสารให้พลังงานที่ปราศจากคุณค่าทางอาหาร
- ตับ เป็นอวัยวะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่ชายโครงขวา หน้าที่หลักของตับก็คือ การสร้างสารต่างๆที่ใช้ในร่างกาย และการทำลายสารต่าง
การสร้างสารของตับ ทำหน้าที่สร้างสารหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโปรตีน น้ำตาล ไขมัน ซึ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต
การทำลายสารต่างๆ มีตั้งแต่ทำลายสารที่เป็นพิษต่อร่างกาย หรือการเปลี่ยนสารที่ร่างกายไม่ต้องการ ให้ถูกขับถ่ายออกไปไม่ว่าทางอุจจาระหรือทางปัสสาวะ
ดังนั้นจะเห็นจากหน้าที่การทำงานของตับ ว่าถ้ามันถูกทำลายไป ร่างกายที่เหลือก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้


ผลของเหล้าที่มีต่อตับในแง่กระบวนการ'สร้าง'
ในสภาวะปกติที่ร่างกายกินอาหารเข้าไป อาหารที่ถูกย่อยและดูดซึม จะเข้าไปในกระแสเลือด ไม่ว่าน้ำตาล โปรตีน ไขมัน ต่างถูกนำไปสู่ตับ จากนั้นตับจะทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงสารเหล่านี้เพื่อให้เหมาะสมต่อการกระจายไปสู่อวัยวะต่างๆ
บางส่วนตับจัดให้กลายเป็นพลังงานสะสมในตับ บางส่วนตับจะส่งไปสะสมในรูปไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกาย
แอลกอฮอล์ เมื่อกินเข้าไปแล้วจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ส่วนหนึ่งไปสมอง(ทำให้เกิดอาการเมา) ส่วนที่เหลือก็ไปยังตับ ...
อย่างที่บอกว่ามันเป็นสารที่ให้พลังงาน เมื่อมันเข้าไป ตับก็จะเปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้กลายเป็นสารที่ร่างกายจะเอาไปใช้ให้เกิดพลังงาน
ปัญหาก็คือว่ามันเป็นสารที่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร ดังนั้นจึงจัดในกลุ่มอาหารชั้นเลว เพราะพอกินไปแล้วร่างกายไม่รู้สึกอิ่ม แต่ว่ามันทำให้ร่างกายรู้สึกว่ามีพลังงานในร่างกายมาก
ดังนั้นเมื่อเรากินอาหารเข้าไปตามปกติ ตับก็จะเปลี่ยนพลังงานส่วนเกินจากแอลกอฮอล์ให้กลายไปเป็นไขมัน
ดังนั้นก็จะกลายเป็นสาเหตุของโรคอ้วน ซึ่งจะตามมาด้วยโรคทางหลอดเลือดหัวใจและสมองต่อไป
นอกจากนี้เจ้ากรดไขมันที่เกิดขึ้นมาในกระบวนการนี้ ยังมีบางส่วนที่จะสะสมในตับ เกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า Fatty Liver หรือที่คนไทยชอบเรียกว่า "ไขมันเกาะตับ"อีกด้วย

ที่จริงแง่โรคอ้วนนี้เป็นปัญหาการตายของคนไทยในระยะยาวที่สำคัญ แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้หรือไม่ก็ไม่สนใจ เพราะว่ามันกินเวลานานกว่าที่ผู้กินจะรู้ตัว

ผลของเหล้าที่มีต่อตับในแง่ของการ'ทำลาย'
เมื่อเรากินเหล้าเข้าไปเหล้าจะโดนส่งไปที่ตับ จากนั้นเหล้าก็จะถูกตับเปลี่ยนเพื่อเปลี่ยนไปเป็นพลังงานตามที่ได้ว่าไว้
บางส่วนของเหล้าจะเข้ากระบวนการของตับที่มีชื่อเรียกว่า Cytochrome P450 oxidase ... เป็นชื่อเอนไซม์ตัวนึงที่ใช้ในการทำลายเปลี่ยนแปลงสารต่างๆ
ยาหลายตัวต้องใช้เจ้า P450 นี้ ... ยาบางชนิด ใช้เพื่อให้ยาทำงานได้ผล ... ยาบางตัวมีพิษ ก็จะมาถูกทำลายด้วยP450 นี้
แต่ถ้าเรากินเหล้าเข้าไป จะไปกระตุ้นเจ้า P450 นี้ให้ทำงานมากขึ้น
เมื่อเจ้าP450ทำงานมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ ยาหลายตัวที่กินเข้าไป จะไปถูกทำลายที่นี่มากขึ้น
ถ้าคนปกติกินยาเข้าไป1เม็ด ออกฤทธิ์ ครึ่งเม็ด (อีกครึ่งโดนทำลาย)
คนที่กินเหล้าเป็นประจำ กินเข้าไปหนึ่งเม็ด สามในสี่อาจจะโดนทำลาย ... เหลือออกฤทธิ์จริงๆแค่หนึ่งในสี่ ... ดังนั้นกินยาเข้าไปก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์จากยาเลย

จึงไม่น่าแปลก หากใครกินเหล้าเป็นประจำแล้วเวลาเจ็บป่วยแล้วรักษาหายช้า หายไม่ทันใจ ... บางคนให้ยาถูกต้อง รักษาถูกต้อง ก็หายช้า บางครั้งบางคราวพาลไปโทษว่ายาไม่ดีรักษาไม่ดีเสียด้วยซ้ำ


ผลของเหล้าที่กระทำต่อตับ
ในกระบวนการที่เหล้าเข้าไปในตับและเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานนั้น จะมีช่วงที่มันกลายไปเป็นอะเซตาลดีไฮด์ ... (ฟอร์มาลินดองศพ มีชื่อว่า ฟอร์มัลดีไฮด์ คล้ายๆกันไม๊) แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นอะซีเตท(ซึ่งเอาไปสร้างพลังงาน) และในกระบวนการช่วงที่เปลี่ยนเจ้าอะซีเตทไปเป็นพลังงาน จะเกิดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งมีฤทธิ์แบบอนุมูลอิสระ
หรือพูดง่ายๆว่า พอกินเหล้าไปแล้วก่อเกิดสารที่ทำลายเซลล์ตับขึ้น
ตับจะเกิดการอักเสบขึ้นมา ... และเมื่อตับทำการซ่อมแซม ก็จะเกิดแผลเป็นขึ้น
ถ้าเป็นแล้วหยุดเหล้า ตับซึ่งมีความสามารถในการซ่อมแซมตนเองสูงมาก ก็จะซ่อมแซมตนเองจากที่เคยผิดปกติจะกลับมาสู้สภาพปกติได้
แต่ถ้าไม่หยุด หากเป็นติดต่อกันนานๆเข้าก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า "ตับแข็ง"ขึ้นตับกลายเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำ

ไขมันเกาะตับ ต้องรักษาไหม
ปกติเวลาไปตรวจแล้วเจอไขมันเกาะตับ จะเป็นการตรวจเจอด้วยการเข้าเครื่อง เช่น MRI CT อัลตราซาวน์
คนหลายคนจะเจอแล้วกังวล ... ซึ่งแพทย์ก็มักไม่ได้ให้การรักษาอะไร(ถ้าหากพูดคุยกันเข้าใจ) ถ้าหากคุยไม่ค่อยเข้าใจ ก็อาจจะให้วิตามินบำรุงตับไป
ไขมันเกาะตับจากเหล้านี้ไม่ใคร่มีอาการ ไม่มีผลเสีย และหายเองได้ภายในสองสัปดาห์หากหยุดเหล้าครับ (ดังนั้นก็จะเจอได้บ่อยๆ เวลาตรวจเจอ หมอไม่ได้รักษา แล้วไปหาพระรดน้ำมนต์และถือศีล5ศีล8 เพราะว่าการถือศีล5ก็ต้องงดเหล้า)

ตับแข็งแล้วเป็นอย่างไร
อย่างที่บอกครับว่าตับมีหน้าที่สร้างและทำลายเมื่อตับแข็งหน้าที่การทำงานก็เปลี่ยนแปลงไป
กินยาเข้าไปแล้ว บางครั้งยาออกฤทธิ์ได้ไม่ดี รักษาโรคไม่หาย
กินยาเข้าไปแล้ว ร่างกายขับทำลายยาได้ไม่ดี เกิดผลข้างเคียงของยารุนแรงกว่าปกติ
ตับทำหน้าที่แจกจ่ายพลังงาน เมื่อตับแข็งเสียไป ร่างกายก็อ่อนเพลีย (จนมีความเชื่อว่าถ้าเป็นโรคตับต้องกินน้ำหวาน )
ตับทำหน้าที่สร้างโปรตีน(Albumin)ออกไปใช้ในส่วนต่างๆ ดังนั้น เมื่อส่วนนี้เสียไปก็เกิดกล้ามเนื้อลีบลง โปรตีนในเลือดที่เรียกว่าAlbumin(หรือเรียกภาษาไทยว่าไข่ขาว)ลดลง ... ทำให้เกิดผลตามมาคือแขนขาบวม ท้องมาน น้ำท่วมปอด
ตับทำหน้าที่เกี่ยวกับการสลายแอมโมเนียเพื่อขับออกทางไต ถ้าตับเสียไปมาก แอมโมเนียจะคั่งค้าง ถ้ามีมากๆจะทำลายสมอง ส่วนนึงของคนที่เป็นตับแข็งจะตายจากเรื่องนี้
ตับมีความสามารถในการซ่อมแซมตนเองสูงมาก แต่ถ้าเกิดตับแข็ง ความสามารถดังกล่าวที่โดนกระตุ้นบ่อยๆ ก็จะก่อให้เกิดมะเร็งขึ้น ... คนที่เป็นตับแข็งก็มีความเสี่ยงก่อมะเร็งตับ

ไปตรวจเลือดแล้วไม่เห็นเป็นอะไร
เวลาไปตรวจเลือด ในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จะมีเอนไซม์ของตับเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าปกติ ... แต่ว่า หากปล่อยให้เป็นไปนานๆ จนเริ่มเกิดตับแข็งไปบางส่วน ผลเลือดจะกลับมาอยู่ในค่าที่ปกติครับ
จากที่เคยพบมา คนบางคนเจาะเลือดที่รพ.แล้ว แพทย์ก็เตือนไปว่าตับเริ่มไม่ดี ให้หยุดดื่มเหล้า ... แต่จากนั้นไปแสวงหาการรักษาอื่นแล้วไปเจาะเลือดซ้ำ ปรากฎว่าผลเลือดปกติ ... บางคนหลงเข้าใจผิดว่าการรักษาทางเลือกที่ไปนั้นได้ผล
จริงๆแล้วไม่ได้ผล และกำลังกลายเป็นตับแข็งไปแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าอาการยังไม่แสดงออกและผลเลือดที่เคยผิดปกติกลับมาสู่ค่าปกติ (ซึ่งต่อไปอีกระยะหนึ่งจะผิดปกติอย่างชัดเจน)
ดังนั้นการเจาะเลือดแล้วปกติ ไม่ได้แปลว่าตับปกติครับ ต้องดูจากประวัติหลายๆอย่างในอดีตเพิ่มเติม

ดังนั้น หนทางที่ดีที่สุดที่ทุกท่านทำได้คือ หยุดเหล้าครับ

-=Byหมอแมว=-


Powered by ScribeFire.

Thursday, November 8, 2007

"กระ-ฝ้า" ปัญหาอมตะของผู้หญิง (Freckle)

จากปัญหาสุขภาพของผู้หญิงทั้งที่เป็นอาการปกติทั่วไปหรือร้ายแรง ทำให้ผู้หญิงสมัยใหม่ตื่นตัวและหันมาสนใจดูแลร่างกายตนเองมากขึ้น ด้วยการหาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือต่างๆ หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และในบรรดาเรื่องสุขภาพสุดฮิต ที่ผู้หญิง ให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ ก็ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสวยงาม โดยเฉพาะเรื่องผิวพรรณบนใบหน้า ยิ่งมีกระแสและค่านิยม ผิวหน้าขาวใส ปราศจากจุดด่างดำมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มความกังวลใจแก่สาวๆ มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ปัญหากระและฝ้า ซึ่งขึ้นชื่อว่ารักษายาก และ มีปัญหาจากการรักษาที่ไม่ได้ผลมากมายตามหน้าหนังสือพิมพ์ ทางที่ดี เราจึงควรทำความรู้จักกับปัญหาทั้งสองอย่าง ให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจทำการรักษา

สาเหตุและลักษณะของการเกิดฝ้าและกระ

กระและฝ้าเกิดจากการที่มีเม็ดสีเมลานิน (melanin pigment) สะสมในผิวหนังมากผิดปกติ ทำให้เกิดผื่นสีน้ำตาลเป็นรอยคล้ำ อย่างไรก็ตามผื่นทั้งสองจะมีลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้

กระ มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลขนาดมักเล็กกว่า 0.5 ซม. พบกระจายอยู่บริเวณใบหน้าและผิวหนังที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ เชื่อว่าอาจมีสาเหตุจากพันธุกรรมร่วมด้วย เริ่มพบได้ตั้งแต่วัยเด็ก จากนั้นจะค่อยๆ มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นและสีเข้มขึ้น

สำหรับฝ้า พบบ่อยในสุภาพสตรีวัยกลางคน มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาล พบบริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก เหนือริมฝีปากด้านบนและคาง ผื่นมักมีสีคล้ำขึ้นเมื่อถูกแสงแดด เราสามารถแบ่งชนิดของฝ้าได้เป็นสามชนิด
  • ฝ้าที่เกิดในบริเวณหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้ม บริเวณขอบเขตของผื่นจะเห็นชัด ฝ้าชนิดนี้ค่อนข้างตอบสนองดีต่อการรักษาเนื่องจากเม็ดสีเมลานินอยู่ไม่ลึกในผิวหนังจึงง่ายต่อการกำจัด

  • ฝ้าที่อยู่ในชั้นหนังแท้ ผื่นฝ้าจะเป็นสีน้ำตาลผสมสีเทาเข้ม ขอบเขตจะเห็นไม่ชัดเจน เนื่องจากเม็ดสีเมลานินอยู่ในระดับที่ลึกมากขึ้น มีผลทำให้รักษาค่อนข้างยาก ตอบสนองไม่ดีต่อการรักษา

  • ฝ้าชนิดผสม มีเม็ดสีเมลานินสะสมมากผิดปกติทั้งในชั้นหนังแท้และหนังกำพร้า การแยกชนิดของฝ้านั้นจะมีประโยชน์ต่อการรักษา ทำให้สามารถประเมินได้ว่าจะรักษาได้ผลดีมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามการตรวจด้วยสายตาอาจมีข้อจำกัด บางครั้งอาจต้องใช้กล้องแสงอัลตราไวโอเลต (UV Camera) ช่วยในการจำแนกชนิดของฝ้า

สาเหตุของการเกิดฝ้านั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าน่าจะมีปัจจัยหลายอย่างร่วมกันได้แก่ แสงแดด ฮอร์โมน ยา การแพ้เครื่องสำอาง ตลอดจนพันธุกรรม สำหรับแสงแดดมีส่วนประกอบของรังสีอัลตร้าไวโอเลตชนิด A (UVA) และชนิด B (UVB) รังสีทั้งสองชนิด เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ฝ้าเป็นมากขึ้น ในส่วนของฮอร์โมนเชื่อว่าฮอร์โมนเพศชนิดเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) มีผลทำให้เกิดฝ้า โดยสังเกตพบว่าฝ้าจะเป็นมากขึ้นในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือสตรีที่ตั้งครรภ์ และฝ้ามักจะจางลงภายหลังหยุดยาคุมกำเนิดหรือหลังคลอดบุตร นอกจากนั้นการรับประทานยาบางชนิดอาจมีส่วนทำให้ฝ้ามีสีคล้ำขึ้นเช่น ยากันชักชนิด diphenylhydantoin เป็นต้น สำหรับการแพ้เครื่องสำอางอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดฝ้าได้ โดยเฉพาะการแพ้น้ำหอมหรือสีที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอางนั้นๆ

วิธีการรักษากระและฝ้า
อันดับแรกต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า กระและฝ้าส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทั้งนี้เพราะเรา ไม่ทราบสาเหตุ ต้นกำเนิดที่แท้จริง การรักษามุ่งเน้นหลักสำคัญสองประการคือ หลีกเลี่ยงหรือป้องกันปัจจัยที่จะมากระตุ้นให้กระหรือฝ้าเป็นมากขึ้น ร่วมกับการพยายามรักษาให้รอยคล้ำนั้นจางลง ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด หรือยาอื่นๆ ที่อาจทำให้รอยคล้ำนั้นเป็นมากขึ้น การหลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ การเลือกครีมกันแดดจะต้องเลือกใช้ชนิดที่เหมาะสมกับปัญหาของตัวเรา

ในกรณีที่มีปัญหากระหรือฝ้าควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB สำหรับค่า SPF (Sun Protection Factor) ควรมีค่าประมาณ 15 ถึง 30 หรือสูงกว่าขึ้นไป อย่างไรก็ตามครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ บางชนิดอาจมีลักษณะข้นเหนียว ทำให้รู้สึกเหนอะหนะไม่น่าใช้ รวมทั้งอาจทำให้เกิดสิวง่ายขึ้น ควรทาครีมกันแดดทุกวัน และถ้าจำเป็นต้องตากแดด ควรทาครีมกันแดดวันละสองครั้งหรือมากกว่า ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ว่าครีมกันแดดบนผิวหน้ายังมีปริมาณ ที่เพียงพอต่อการป้องกันแสงแดด มิได้จางหายไปกับเหงื่อที่มักจะถูกซับด้วยกระดาษหรือผ้าเช็ดหน้าอยู่เสมอ ในกรณีที่มีสภาพผิวหน้าแบบผิวมันเป็นสิวง่าย ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่เป็นสูตร Non-comedogenic หรือ สูตร water-based และควรอยู่ในรูปของเจลหรือโลชั่นจะเหมาะสมกว่าในรูปของครีม

ส่วนการรักษาให้รอยคล้ำจากกระและฝ้าจางลงมีได้หลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป วิธีที่ง่ายและสะดวกคือการรักษาด้วยการทายา ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือยาทาที่ใช้ในการรักษานั้นแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ได้แก่

  • กลุ่มที่เร่งการขจัดเซลล์หนังกำพร้า มีผลทำให้เม็ดสีเมลานินถูกกำจัดออกไปได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ หรือ Alphahydroxy acid (AHA) และกรดวิตามินเอ เป็นต้น

  • กลุ่มยาหรือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีผลลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน เช่น ยาไฮโดรคิวโนน (Hydroquinone) กรดโคจิค (Kojic acid) หรือเจลวิตามินซี ผลการรักษาจะต้องใช้ระยะเวลา 4 ถึง 8 สัปดาห์จึงเห็นการเปลี่ยนแปลง และมักได้ผล ในกรณีที่ฝ้าเกิดในชั้นหนังกำพร้า ส่วนกระอาจจะจางลงได้บ้าง ข้อควรระวังคือใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ มิฉะนั้นอาจทำให้ เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการหน้าลอกเป็นขุย แสบแดง ระคายเคือง ทำให้คล้ำมากกว่าเดิมหรือาจเกิดเป็นด่างขาวได้ ดังนั้นยาทาบางชนิดควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น กรดวิตามินเอ หรือยาทาไฮโดรคิวโนน ส่วนผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอางนั้นมักจะมีผลข้างเคียงน้อยกว่า แต่ในขณะเดียวกันผลลัพธ์ที่ได้ก็มักจะน้อยกว่าด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น ยังมีการนำยารับประทานชนิด Tranxemic acid ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ทำให้บริเวณ ที่กำลังมีเลือดไหลออก มานั้นหยุดได้เร็วขึ้น มาประยุกต์ใช้รักษาฝ้าเนื่องจากยาชนิดนี้สามารถลดการสร้างเม็ดสีในผิวหนัง มีผลทำให้ฝ้าจางลงบ้างในบางราย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผลการศึกษาวิจัยเป็นที่ยืนยันอย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังต้องรับประทานยาระยะยาวจึงจะเห็นผล จึงควรต้องระวัง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นเช่น ภาวะหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดดำเกิดการอุดตัน ซึ่งอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต
การรักษากระและฝ้าด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีอื่นๆ
นอกจากนี้การใช้ยาทาหรือยารับประทานปัจจุบันยังมีการรักษากระและฝ้าโดยอาศัยเครื่องมือและเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษามากขึ้น เช่น

  • วิธีกรอผิวชนิด Microdermabrasion (เครื่องกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีผู้นำมาใช้ในการรักษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งการขจัดเซลล์ชั้นหนังกำพร้าให้ลอกหลุดเร็วขึ้น ได้ผลสำหรับฝ้าและกระที่อยู่ในชั้นตื้นๆ ข้อควรระวังคืออาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ากำหนดระดับความแรง ในการทำงานของ เครื่องมือสูงมากเกินไป อาจทำให้เกิดบาดแผลถลอก และมีเลือดออกได้ ส่วน

  • การรักษาด้วยเครื่องไอออนโตฟอรีซิส อาศัยหลักการให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าในระดับอ่อนๆ และมีผลช่วยผลักยา หรือวิตามิน ที่เราทาไว้ก่อนบนผิวหน้าให้ซึมผ่านผิวหนังเข้าไปได้เพิ่มมากขึ้นหรือออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น การรักษาด้วยวิธีนี้มีผลข้างเคียงน้อย อาจมีอาการระคายเคืองได้บ้างแต่มักไม่รุนแรง อย่างไรก็ตามผลการรักษายังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าได้ผลดีอย่างชัดเจน

  • สำหรับเทคโนโลยีของเลเซอร์และเครื่องให้กำเนิดแสงความเข้มสูง (Intense Pulsed Light หรือ IPL) เป็นการรักษาที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน ถึงแม้เลเซอร์และ IPL จะมีคุณสมบัติทางเทคนิคที่แตกต่างกัน แต่กลไกในการทำงานใช้หลักการเดียวกัน กล่าวคือเครื่องมือทั้งสองชนิดให้กำเนิดพลังงานแสง ไปยังบริเวณผิวหนัง ที่มีรอยคล้ำจากกระหรือฝ้า ผิวหนังในส่วนที่มีเม็ดสีเมลานิน ปริมาณมากกว่าปกติจะดูดซับ พลังงานแสง แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงาน ความร้อน มีผลทำให้เม็ดสีเมลานินในบริเวณนั้นถูกทำลายและมีจำนวนลดลง มีผลทำให้กระหรือฝ้านั้นจางลงหรือหายไป เห็นผลการรักษาได้ค่อนข้างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยวิธีนี้ยังมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทำการรักษาโดยผู้ที่ขาดความรู้ความชำนาญ และที่สำคัญกระและฝ้ายังจะ กลับมาเป็นใหม่ได้อีก เมื่อหยุดการรักษา ทั้งนี้เพราะเลเซอร์และ IPL สามารถกำจัดเม็ดสีส่วนเกินในผิวหนังได้ แต่ไม่สามารถป้องกันการเกิด เม็ดสีที่สะสมขึ้นมาใหม่ ดังนั้นภายหลังการรักษาด้วยเลเซอร์หรือ IPL ยังคงต้องทายาเพื่อลดจำนวน เม็ดสีร่วมกับการ ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ

จากที่ได้รวบรวมมาทั้งหมดจะพบว่า การรักษาฝ้าและกระยังมีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากเรายังไม่ทราบสาเหตุของปัญหาอย่างชัดเจน การแก้ปัญหาส่วนใหญ่เป็นการแก้ไข ที่ปลายเหตุทำให้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นอกจากนั้นการรักษา แต่ละชนิดล้วนแล้วแต่มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาจึงควรทำด้วยความระมัดระวัง... ทางที่ดีควรปรึกษาผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญ นอกจากนี้ต้องร่วมป้องกันปัจจัย ที่จะกระตุ้นการเกิดกระและฝ้า การรักษาจึงจะได้ผลดี

นพ.จินดา โรจนเมธินทร์

ที่มา นิตยสาร Health Today



Powered by ScribeFire.

Tuesday, November 6, 2007

เคล็ด(ไม่)ลับกับการดูแลผิวพรรณ

การจะดูแลผิวพรรณให้ได้ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลนั้น ก่อนอื่นคุณสาวๆ ควรรู้จักที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองเสียก่อน โดยผิวของคนเรานั้นก็แบ่งออกเป็นผิวแห้ง, ผิวมัน ผิวผสม และผิวธรรมดา อีกทั้งผิวในแต่ละแบบดังที่กล่าวมาก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้

ผิวแห้ง
ผิวแห้งนั้นมีสาเหตุมาจากผิวขาดน้ำมัน หล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ อีกทั้งผิวยังไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื่นไว้ได้ ซึ่งจะตรงข้ามกับผิวมัน ผิวแห้งจะมีรูขุมขนที่ละเอียด แต่ผิวแห้งกร้าน และอาจรุนแรงถึงขั้นลอกเป็นขุย ผิวจะให้สัมผัสที่ไม่นุ่มนวลเท่าที่ควร แถมเกิดริ้วรอยได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น ผิวก็จะมีแนวโน้มแห้งมากขึ้น เพราะต่อมไขมันทำงานช้าลง ดังนั้นการดูแลผิว ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่น ให้กับผิวและป้องกัน ริ้วรอย อย่างผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ อาทิ น้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง หรือเชียร์บัตเตอร์ เป็นต้น

ผิวผสม
เป็นผิวที่มีทั้ง ผิวแห้ง และ ผิวมัน ผิวค่อนข้างมันใน บริเวณ T-Zone หน้าผาก จมูก คาง ต่อมไขมันบริเวณนี้จะมีขนาดใหญ่ และทำงานได้ดีกว่าบริเวณอื่น ทำให้มีปัญหาเรื่องสิวได้ ส่วนผิวบริเวณแก้มทั้งสองข้าง มีลักษณะ ผิวธรรมดา หรือ ผิวแห้ง การดูแลผิวจึงควรเลือก ผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยปรับสมดุล ของผิวทั้งสองบริเวณให้ใกล้เคียงกัน

ผิวธรรมดา
เป็นผิวที่ดีที่สุด ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่อง ผิวแห้ง เกินไปหรือมันเกินไป ปัญหาเรื่อง ริ้วรอย หรือ สิว จึงพบได้น้อย นอกจากการทำความสะอาด ปรับสภาพผิว และเติมความชุ่มชื่นให้กับผิวแล้ว ก็ควรดูแลผิว เพิ่มเติมเมื่อต้องไปเผชิญ กับภาวะอากาศที่ร้อนจัด หรือ หนาวจัด เพื่อคงสุขภาพผิวที่ดีไว้ โดยคุณสามารถดูแลผิวธรรมดาของคุณให้สวยได้ง่ายๆ เพียบงแค่ใช้โลชั่นน้ำนม ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดจากธรรมชาติ อาทิ ว่านหางจระเข้, ดอกคาโมมาย, เชียร์บัตเตอร์ และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโปรตีนสกัดจากน้ำนม และถั่วเหลือง เป็นต้น เพราะนอกจากส่วนผสมดังกล่าวจะช่วยทนุถนอมผิวให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื้นแล้ว ก็ยังมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว ช่วยปกป้องผิวจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงอีกด้วย

ผิวมัน
เกิดจากการที่ ต่อมไขมัน ทำงานมากเกินปกติและ รูขุมขน ที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ จึงปรากฏความมัน ของผิวโดยเฉพาะ บริเวณ T-Zone ปัญหาที่ตามมา คือ สิว เพราะเกิดการ อุดตัน ของน้ำมันตามรูขุมขน แต่คนผิวมันจะไม่เกิด ปัญหาริ้วรอย ได้ง่ายเหมือนผิวประเภทอื่น การดูแลผิวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุม ความมัน และป้องกันสิว ทางที่ดีใช้ผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่มีส่วนผสม หรือสารสกัดจากธรรมชาติจะดีที่สุดค่ะ

นอกจากสภาพผิวที่ได้แจกแจงไปแล้ว คุณสาวๆ บางคนก็ประสบปัญหาแพ้ง่าย ใช้อะไรก็แพ้เป็นผื่น คัน บ้างก็รุนแรงถึงขั้นเป็นรอยไหม้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีผิวแพ้ง่ายล่ะก็ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดสูตรอ่อนโยนทั้งหลาย ใครที่ใช้แต่สบู่ก้อนอาบน้ำมาโดยตลอด และประสบกับปัญหาผิวแห้งตึง แตก คัน ก็ลองเปลี่ยนมาใช้เจลอาบน้ำสูตรอ่อนโยน ที่ไม่มีส่วนผสมของสารชำระล้าง ที่อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เพราะเจลอาบน้ำส่วนใหญ่จะ ไม่ทิ้งผิวที่แห้งตึงเอาไว้ให้เราหลังอาบน้ำ


Powered by ScribeFire.

วิธีถนอมความชุ่มชื่นให้แก่ผิวยามเดินทาง

ลลิดา สันพินิจสุนทร

เนื่องจากภายในห้องโดยสารบนเครื่องบินมีการปรับอุณหภูมิและความชื้นให้ต่ำกว่าปกติ (ความชื้นน้อยกว่าในทะเลทรายเสียอีก) ประมาณ 15 - 35 เปอร์เซ็นต์ทำให้ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื่นได้ เคล็ดลับมีอยู่ง่ายๆ ดังนี้

หลังจากเครื่องบินขึ้นบินแล้วให้ฉีดน้ำหรือนำแร่ลงบนใบหน้า จะช่วยให้ความชุ่มชื่นยังคงอยู่บนผิวตามด้วยครีมหรือโลชั่นทาหน้า และลิปบาล์ม ถ้าคุณนั่งใกล้หน้าต่าง มอยส์เจอไรเซอร์ควรผสมสารกันแดดด้วย โดยควรทาครีมทุกๆ ชั่วโมงหรือเมื่อรู้สึกว่าหน้าแห้งตึง

หลีกเลี่ยงอาหารอย่างขนมขบเคี้ยวที่มีรสเค็ม และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ชาและเท้าบวมได้ ควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อคงความชุ่มชื่นไว้ให้นานที่สุด

ก่อนเครื่องจะลงจอดประมาณครึ่งชั่วโมง ให้ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ แล้วจึงค่อยแต่งเติมใบหน้าด้วยเครื่องสำอาง

เพียงเท่านี้คุณก็จะคงความชุ่มชื่นให้แก่ใบหน้าได้ตลอดการเดินทาง แม้จะเดินทางบ่อยแค่ไหนรับรองว่าใบหน้าไม่มีทางทรุดโทรม หมดความสวยแน่นอน

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Harper's Bazaar ฉบับภาษาไทย



Powered by ScribeFire.

การนอนไม่พอส่งผลร้ายต่อผิวหน้า

ทราบกันหรือไม่คะว่าการพักผ่อน ไม่เพียงพอส่งผลกระทบด้วยโดยตรงต่อผิว โดยเฉพาะผิวหน้า โดยเฉพาะสาวๆ ที่ชอบเริงราตรีคุณรู้หรือไม่ว่า คุณกำลังทำร้ายผิวอย่างร้ายแรง

เพราะว่าช่วงเวลากลางคืนเป็นช่วงที่เวลาที่ผิวจะถูกซ่อมแซม โดยเราสามารถสังเกตุผลกระทบได้ง่ายๆ คือขอบตาที่ดำคล้ำซึ่งมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูทรุดโทรม ซึ่งถึงแม้ว่าคุณจะลงรองพื้นหน้าเท่าไหร่ก็ไม่สามารถปกปิดได้มิด

วิธีการแก้ไขในระยะเวลาอันสั้นสำหรับสาวๆ ที่เผชิญปัญหาหน้าโทรมเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอคือ การเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าก่อนค่ะ อาจจะเป็นการพอกโยเกิร์ตทิ้งไว้สัก 10 นาทีหรือฝานแต่งกวาเป็นแว่นบางๆ แล้วแปะไว้บนใบหน้าเพื่อให้ใบหน้าได้ดูซึมความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิว หลังจากนั้นคุณก็สามารถใช้เครื่อง สำอางค์ตกแต่งปิดบังร่องรอยการ นอนดึกที่ผ่านมากได้

แต่วิธีที่ดีสุดคือพักผ่อน ให้เพียงพอและดื่มน้ำมากๆ แค่นี้ผิวหน้าของคุณก็จะดูสดใสเปล่งปลั่ง เป็นธรรมชาติ แบบไม่ต้องใช้เครื่องประทินผิวช่วยแล้วล่ะค่ะ


--------------------------------

ได้มานานแล้วครับ และ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆครับ ^_^


Powered by ScribeFire.

สุขภาพดีได้ง่ายๆ แค่เรื่องใกล้ตัว

คุณๆ ขารู้ไหมคะว่าพฤติกรรมกับสุขภาพเนี่ยเป็นเรื่องที่จะต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน แต่บางคนเกิดความเข้าใจผิดๆ หรือรู้ไม่เท่าทันก็อาจทำให้พฤติกรรมที่ผิดบางอย่างมีอิทธิพลต่อการดูแลสุขภาพและบุคลิกของคุณได้ วันนี้ดิฉันก็เลยมีเฮลธ์ทริปง่ายๆ ที่แน่นอน "คุณยังไม่รู้" และที่สำคัญแค่ทำแล้วนอกจากคุณจะได้ good health แล้วยัง good looking อีกต่างหาก
  • อาหารโลว์แฟตทำให้อ้วน!!!!
    สมัยนี้สาวๆ หันมาดูแลรูปร่างมากขึ้น ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วผู้หญิงเรา เพื่อความสวย ลำบากยังไงฉันก็ทนได้ แล้วถ้าพูดถึงเรื่องอ้วนๆ วิธีจัดการง่ายๆ อันดับแรกคงหนีไม่พ้นเรื่อง "อาหาร" เมื่อดีมานมาซับพลายก็เกิด เราจึงเห็นผลิตภัณฑ์อาหารหลายยี่ห้อแห่กันออกมาทำของประเภทไขมันต่ำมาก มายเกลื่อนเมือง อย่างนมไขมันต่ำ ธัญญาพืชชนิดแท่งไขมันต่ำ น้ำตาลโลว์แฟต คุ๊กกี้ไขมันต่ำ ไอศครีมไขมันต่ำ ฯลฯ แต่ดิฉันจะมาบอกอะไรให้รับรองได้เลยว่าคุณอาจจะเซย์กู๊ดบายอาหารไขมันต่ำจ๋าไปเลยก็ได้ ในขั้นการผลิตอาหารไขมันต่ำ ดีที่โลว์ไขมัน แต่... แต่อาหารพวกนี้ก็จะโลว์สารอาหารอื่นๆ ตามไปด้วย แน่นอนว่าพวกไฟเบอร์ในอาหารเหล่านั้นก็ลดลงด้วย (แถมเสี่ยงกับการเป็นโรคขาดสารอาหารอีกต่างหาก) ระบบการย่อยอาหารจะทำได้ดีกับอาหารประเภทนี้ ฉะนั้นเคยสังเกตกันมั้ยคะว่ายิ่งคุณพยายามจะลดปริมาณอาหาร ไขมันและพลังงานเท่าไหร่ แต่ไฉนคุณถึงอ้วนขึ้นๆ นั่นก็เพราะกระเพราของเราสามารถย่อยอาหารได้เร็วขึ้น เราจึงหิวเร็ว แล้วบางทีเราก็ทนไม่ได้เสียด้วยสิกับท้องที่ร้องจ๊อกๆ จนต้องเติมท้องให้เต็มอิ่ม อาหารไขมันต่ำอร่อยจนต้องขออีก นี่คือข้อสำคัญ อาหารโลว์แฟตบางชนิดส่วนใหญ่มีการเติมแต่งรสชาติสังเคราะห์เพื่อให้ได้ความอร่อย พออร่อยมันก็หยุดไม่ค่อยได้ ขออีก ขออีก และขออีก (แถมย่อยง่ายๆ อย่างนี้ กว่าจะรู้สึกอิ่มก็สายไปเสียแล้ว) สุดท้ายล้ำหน้าเจ้าค่ะ

  • หัวไม่ล้านเพราะเปลี่ยนทรงผมบ่อยๆ
    สิ่งที่ช่วยให้สาวๆ สวยขึ้นได้ 30% ก็คือผม นอกจากทรงผมและสีผมที่สวยแล้ว การดูแลสุขภาพเส้นผมให้สลวยสวยเก๋ต้องเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ทุกๆ วันเส้นของคนเราจะมีการหลุดร่วงและงอกใหม่อยู่เสมอ กระบวนการนี้จะทำงานได้ดีโดยเฉพาะในเด็ก แต่สำหรับวัยผู้ใหญ่ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ผมก็จะยิ่งหลุดร่วงขาดง่ายยิ่งขึ้น ในทางกลับกับเส้นผมที่งอกใหม่ขึ้นทดแทนกลับผลิตได้ไม่ดี ฉะนั้นพอตัวเลขอายุคุณมากขึ้น หากดูแลสุขภาพเส้นผมไม่ดีพอ "วิก" อาจจะกลายเป็นอาภรณ์ประจำตัวคุณก็ได้ ง่ายๆ ค่ะแค่สาวๆ ที่ผมยาวสลวยยกมือขิ้นเสยซ้ายที ขวาทีบ่อยๆ นอกจากคุณจะได้ลุคเก๋ๆ เข้ากับใบหน้าใหม่แล้ว มันยังช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ด้วยนะคะ (แต่ระวังนะเสยมากไปจากหัวไม่ล้านจะกลายเป็นเจ๊เถิกเอานะ แล้วจะหาว่าดิฉันไม่เตือน)

  • ยาหม่องไม่ได้ช่วยลดการฟกช้ำอักเสบนะจ๊ะ
    เมื่อก่อนเวลาหนูๆ วิ่งเล่นซนหกล้มร้องไห้แง้ คุณย่าคุณยายมักจะเรียกมาทายาหม่อง น้ำมันมวยกันเป็นแถว จนโตมาเราก็ใช้ยาหม่องนี่แหละเป็นตัวช่วยสำคัญ เวลาเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ ปวดบวมกล้ามเนื้อ แต่คุณขามันผิดค่ะ!!! การทายาหม่อง น้ำมันมวย บรรดายานวดที่ทาแล้วแสบร้อนทั้งหลายจะทำให้บริเวณที่เกิดการอักเสบยิ่งบวมและอักเสบมากขึ้น เนื่องจากเส้นเลือดบริเวณนั้นขยายตัวมากขึ้น วิธีที่ดีที่สุดคือรีบหาน้ำแข็งมาประคบบริเวณที่อักเสบทันทีค่ะ วิธีนี้จะทำให้บริเวณที่บาดเจ็บเกิดอาการชาและไม่ปวด และที่เริ่ดกว่านั้นคือลืมได้เลยเรื่องการบวมอักเสบภายหลังค่ะ

  • กินสตอให้ปากหอม
    สตอ เชื่อว่าต้องเข้าวินเป็นของชอบของใครหลายๆ คนไม่น้อยเลย แถมสตอยังเมนูที่มีโปรตีนและคาร์ไบไฮเดรตสูง มีสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือด เป็นยาระบายอ่อนๆ และเป็นสารต้านมะเร็งในระบบทางเดินอาหารอีกด้วย ที่สำคัญสตอช่วยชลอความแก่ได้จ้า แต่กลิ่นสตอที่ติดตรึงยากจะลืมเลือนนี่สิที่แรงไม่แพ้ของดีๆ ในตัวมันเลย เอาเป็นว่าจำทริคนี้นะคะ แล้วคุณจะอร่อยลิ้นกับเมนูสตอได้อย่างหายห่วง แค่กินยอดใบฝรั่งๆ อ่อนหรือไม่ก็ทานแตงกวาสดตบท้าย รับรองว่าเรื่องกลิ่นหายห่วงค่ะ

  • แค่เครียดก็แท้งลูกได้
    ใครที่กำลังเป็นว่าที่คุณแม่ก็มักจะระมัดระวังและดูแลตัวเองเป็นพิเศษ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยเฉพาะสุขภาพจิตอย่างเรื่องความเครียดเนี่ยเป็นศัตรูตัวร้ายเลยทีเดียว ความเครียดจะส่งผลให้ผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์มีอัตราเสี่ยงต่อการแท้งลูกสูง ยิ่งถ้าเป็นทารกเพศชายแล้วยิ่งกลับมีอัตราแท้งสูงกว่าทารกเพศหญิงถึงเท่าตัว เพราะโดยปกติแล้วตัวอ่อนของทารกเพศชายมีความอ่อนแอมากกว่าตัวอ่อนทารกเพศหญิง ดังนั้นเมื่อว่าที่คุณแม่ต้องมาเจอกับภาวะเครียดก็จะทำให้แนวโน้มต่อการแท้งลูกมีสูงมากขึ้น ฉะนั้นจงทำหน้าตาจิตใจให้แจ่มใส ทำให้อารมณ์เบิกบาน แค่นี้คุณก็จะได้คลอดเจ้าหนูหน้าตาน่ารักหน้าชังและแข็งแรงสมบูรณ์ค่ะ

  • สมัยนี้แค่หายใจก็เป็นโรคหัวใจได้แล้ว
    สมัยนี้ต้องยอมรับว่าอากาศบริสุทธิ์หาได้ยากขึ้น ยิ่งตามเมืองใหญ่ๆ แล้วมลพิษทางอากาศก็ยิ่งเยอะขึ้นตามเป็นลำดับ ซึ่งต้องไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอยู่แล้ว แต่จากการรายงานล่าสุดพบว่าแค่คุณหายใจเนี่ย คุณก็เท่ากับมีโรคหัวใจมาถามหาแล้ว เพราะอะไรรู้มั้ยคะ? เพราะว่านอกจากของเสียจากท่อไอเสียรถยนต์อย่างก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ จะทำให้เราปวดหัว ง่วงๆ ซึมๆ คลื่นไส้จะอาเจียน ขาดชีวิตชีวาอย่างที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว เจ้าก๊าซพิษนี้มันยังไปทำให้ระดับโทรโพนินในเลือดสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ร่างกายกระตุ้นการสังเคราะห์สารที่จะทำลายเซลล์เนื้อเยื่อหัวใจโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย กว่าจะรู้ตัว กว่าร่างกายจะแสดงอาการก็โน้นกลายเป็นโรคหัวใจระดับสามไปซะและ น่ากลัวน้อยอยู่ซะเมื่อไหร่กันล่ะคะคุณ เพราะอย่างนี้นี่เองใครๆ เขาถึงฮิตเป็นโรคหัวใจกันจัง

  • ยาลดไขมันในเลือดก็รักษาโรคหัวใจได้นะ
    ขอแสดงความยินดีด้วยกับคนหัวใจอ่อนแอ เพราะที่เมืองจิงโจ้เขาวิจัยกันมาแล้วนะจ๊ะว่ายาลดไขมันในเลือดกลุ่ม "Resuvastatin" ช่วยรักษาโรคหัวใจได้ โดยยากลุ่มนี้จะไปช่วยลดการเกาะตัวของไขมันในหลอดเลือดหัวใจได้ แถมยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดเลว ได้อีกตั้งครึ่ง ที่สำคัญยากลุ่มนี้ยังไปช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดีอีกด้วยนะ คราวนี้เลือดก็ได้เดินไหลเวียนได้สะดวกสบายไร้ไขมันอุดตันซักที นี่คงเป็นข่าวดีสำหรับคนเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันใช่มั้ยคะ

ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today


Powered by ScribeFire.

Monday, November 5, 2007

แฉ....เรื่องจริง ของร้านอาหาร "โถพลู" ต้องอ่านแล้วช่วยกันแบนค่ะ

แฉ....เรื่องจริง ของร้านอาหาร "โถพลู" ต้องอ่านแล้วช่วยกันแบนค่ะ

จริง ๆ แล้วควรจะตั้งกระทู้ที่ห้องโทรโข่งมากกว่าค่ะ แต่คิดไปคิดมา ห้องนี้น่าจะมีคนได้อ่านเยอะกว่า เข้าเรื่องเลยนะคะ ...............

เพื่อน ๆ นักชิมนักช้อปทั้งหลาย คงจะรู้จักร้าน "โถพลู" ที่สวนจตุจักรกันดี เพราะเป็นร้านที่ขึ้นชื่อว่าอาหารอร่อย ราคาก็พอไปไหว แถมยังเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ใครไปช้อปที่สวนฯ ถ้าไม่ได้ลิ้มลองอาหารที่นี่ก็ถือว่าไปไม่ถึงสวนฯค่ะ เราเอง + เพื่อน ๆ + ญาติ ๆ ก็ชื่นชอบในรสชาติอาหารร้านนี้เช่นกัน แต่ไม่นึกไม่ฝันเลยค่ะ ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเช่นนี้

วันนั้นเราไปกัน 3 คน คือ เรา แม่แฟน และเพื่อนของแม่แฟน อาหารที่พวกเราสั่งมีดังนี้ค่ะ * ทอดมันปลากราย * ข้าวมันส้มตำ * ข้าวผัดสัปประรด * ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ * น้ำดื่ม * น้ำมะพร้าว ประมาณว่าหิวววววมากค่ะ เห็นอะไรน่าทานก็สั่ง ๆๆๆ วันนั้นเราได้โต๊ะด้านหน้าของครัวใหญ่ที่ไม่ใช่ห้องแอร์-และอยู่ระหว่างบริเวณที่ล้างจาน (ใครที่เคยไปร้านนี้คงทราบดีว่า ร้านโถพลูเค้าจะมีที่นั่งแบ่งเป็นหลาย ๆ ส่วน และห้องครัว ก็จะมีหลายครัว ครัวผัด ครัวยำ ส่วนเตรียมเครื่องดื่ม อะไรแบบนี้)


อาหารจานแรกที่ยกมาคือ ทอดมันปลากราย จานเล็ก ๆ น่ารัก ประดับประดาด้วยดอกกล้วยไม้และผักแต่งจานสวยงาม ซึ่งก็มีทั้ง แตงกวา กระหล่ำปลีซอย แครอท ประมาณนั้น ไม่แน่ใจนะคะ จำไม่ได้ว่าเป็นผักดองหรือเปล่า ส่วนทอดมันนั้น มีประมาณ 5 ชิ้น จัดเรียงสวยอยู่ใน มันทอดที่ทำเป็นกรวย ๆ หรือที่รู้จักกันในชื่ออาหารว่า "รังนก" (ก็คงทราบกันดี ว่าที่ โถพลู เค้าจะมีการจัดจานอาหารสวยงามน่ารัปประทานมาก) อาหารจานแรก หมดไปอย่างรวดเร็ว อร่อยมากๆๆๆๆ เลยค่ะ ขอบอก แม้แต่ผักแต่งจานก็เกือบไม่เหลือ แล้วแม่แฟนเรายังแอบชิมเจ้ารังนกนั่นด้วย บอกว่าแข็ง ๆ ไปหน่อย สงสัยทิ้งไว้นาน แต่พวกเราก็แอบคอมเพลนเล็กน้อยว่า แพงจัง จานนิดเดียวเอง ตั้ง 100 บาทแน่ะ แต่ก็อร่อยดีนะ

วันนั้นคนเยอะมั่กมาก อาหารค่อนข้างนาน พวกเราก็นั่งเม้าท์กันไปถึงเรื่องต่าง ๆ นั่งอีกสักครู่ใหญ่ ๆ อาหารแต่ละอย่างก็ทยอยมาเสริฟ พวกเราก็ก้มหน้าก้มตาทาน ไม่คุยแล้ว จนอาหารหมด อิ่มกันได้ที่ ก็ถึงตอนนั่งย่อย พูดคุยกันถึงรสชาติอาหาร บริการ ยังเอ่ยปากชมกันว่า อาหารอร่อย บริการก็ดี คนรับรายการยิ้มแย้ม คล่องแคล่ว แถมยังพูดภาษาอังกฤษได้ด้วย ร้านก็คนเยอะแยะ ฝรั่งมากินกันเต็มไปหมด น่าอิจฉาเจ้าของร้านจริง ๆ เลย ประมาณนั้น ในขณะที่พนักงานก็เริ่มเข้ามาเก็บจานออกไป พวกเราก็สอดส่ายสายตารอบ ๆ ร้านไปด้วย ชี้โบ้ชี้เบ้ ประกอบการสนทนา

นั่นเอง.......สิ่งที่พวกเราไม่คาดฝันว่าจะเห็น ว่าจะเกิด ขอเล่าเป็นข้อ ๆ เลยนะคะ

เห็นกันจะ ๆ ต่อหน้าต่อตา แบบนี้จริง ๆ ค่ะ
1. จานทอดมันฯ อันแสนโอชะของพวกเรา ถูกยกเข้าไปยังส่วนของการล้างจาน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่หนึ่งคน เป็นผู้หญิงอายุประมาณ 30 ปลาย ๆ ภาพที่เราเห็นเผิน ๆ คือ เค้าคอย - แยกอาหาร แยกขยะ หรือกวาดเศษอาหารทิ้งจากจานก่อนล้าง แต่ดูไปดูมามันไม่ใช่ค่ะ พอสังเกตดี ๆ จะเห็นว่า ตรงนั้นมันจะมี ตระกร้าแบบเหลี่ยม ทรงเตี้ย ใบเล็ก ใบใหญ่ อยู่หลายใบ ทีเดียว แต่ละใบก็จะบรรจุสิ่งของต่าง ๆ กัน ที่เห็นก็มีดังนี้ค่ะ * รังนกทอด * ผักแต่งจาน * กล้วยไม้ที่ใช้ประดับจาน * หลอดน้ำดื่ม * ขยะรวม
จานทอดมันฯของพวกเราถูกยกไปวางแถว ๆ นั้น พร้อม ๆ กับจานอาหารแต่ละประเภท จากแต่ละโต๊ะ ญ. คนดังกล่าวก็เริ่มทำการ "แยก" กล้วยไม้ไว้ในตระกร้ากล้วยไม้ รังนกทอด หยิบมาดู ๆ เห็นว่าถูกหักเป็นชิ้น ๆ แล้ว ทิ้งไปในขยะรวม ส่วนรังนกที่มาจากโต๊ะอื่น ๆ ยังสภาพดีอยู่ รวมไว้ในตระกร้ารังนกด้วยกัน
2. ข้าวผัดสัปประรด ลักษณะเวลาเสริมคือ เป็นข้าวผัด ที่อยู่ในลูกสัปประรดที่ถูกผ่าซีกในแนวนอน แล้วถูกควักเนื้อออกหมดแล้ว ประดับขอบด้วยกล้วยไม้ บัดนี้ เมื่อทานหมด จับเข้าส่วนล้างจาน ถูกกระทำด้วยผู้หญิงคนเดิม กล้วยไม้ ถูกแยกไว้กับตระกร้ากล้วยไม้ กวาดเศษข้าวผัดที่เหลือ ๆ ออก นำสัปประรดซีกนั้น แกว่ง ๆ จุ่มๆ ในกะละมังที่มีน้ำอยู่ แล้วนำไปรวมกันไว้กับสัปประรดซีกอื่นๆ ในตระกร้าสัปประรด

ตอนนี้พวกเราเริ่มมองหน้ากันตาปริบ ๆ สงสัยกับการกระทำนั้น ๆ ว่าเค้าทำอาไรเน้อ

3. น้ำมะพร้าว เวลาเสริฟ ลักษณะคือ มาทั้งลูก แล้วเสียบหลอด เมื่อทานหมด บัดนี้ ถูกนำมาตั้งรวมไว้ที่เดียวกัน ถูกผู้หญิงคนเดิม นำหลอดออก แล้วมารวมกันไว้ในตระกร้าหลอด วางตั้งไว้สักพัก มีผู้ชายคนหนึ่งมาหยิบเอาลูกมะพร้าวไป โอ้.........พระเจ้าจอร์ช มันๆๆๆๆ มัน น่าสะอิดสะเอียนมาก เมื่อเห็นชายผู้นั้น นำลูกมะพร้าวดังกล่าว มาเปิดฝา แล้วเทน้ำมะพร้าวที่บรรจุไว้ในขวดเข้าไป แล้วจัดแจงเสียบหลอด ปิดฝา จิ้มด้วยกล้วยไม้ แล้วเดินหายลับตาไป คาดว่าน่าจะเอาไปเสริฟผู้โชคร้ายสักคน (ทั้ง ๆ ที่เราก็แงะเนื้อกินไปแล้ว2-3 คำ)

ตะลึงค่ะ บอกได้คำเดียวว่าตะลึง ทั้งโต๊ะ อ้าปากค้างกันเป็นแถว หันกลับไปดู ผู้หญิงด้านล้างจานกันแบบไม่ได้นัดหมาย

4. จานอาหารที่ผ่านการรัปประทานยังทยอยกันมาไม่ขาดสาย ผู้หญิงคนนั้นก็ยังขมักเขม่นกับการ "แยก" วัตถุต่าง ๆ อย่างชำนาญ ไม่ว่าจะเป็น รังนกทอด ผักแต่งจาน ดอกกล้วยไม้ หลอด ลูกมะพร้าว ลูกสัปประรด ฯลฯ ส่งต่าง ๆ ที่ยังดูไม่สึกหรอ เมื่อบางตระกร้าเริ่มมีจำนวนของมากพอสมควร ก็จัดแจงส่งเข้าครัว (ซึ่งตรงนั้นมันจะเป็นช่อง ๆ ไว้สำหรับผ่านสิ่งของกัน ระหว่างห้องครัวกับที่ล้างจาน)
ไม่ต้องเล่าต่อแล้วใช่มั้ยคะ ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่นึกไม่ฝันว่า จะเกิดการรักษ์โลก รีไซเคิลกันได้ถึงเพียงนี้ สิ่งที่รัปประทานไปเมื่อตะกี้ แทบจะออกมาทางเดิมเลยค่ะ ท่านผู้อ่านที่เคารพรัก

พวกเรามองกันอยู่นานนนนนมากกกกก จนผู้หญิงคนนั้นเค้าเริ่มจะรู้สึกตัว กิจที่ทำอยุ่เริ่มเป็นไปอย่างตะกุกตะกัก แบบว่า ไม่ค่อยรื่นน่ะค่ะ ทำแบบเคอะเขิน จนเมื่อมีพนักงานเสริฟเดินเอาจานมาวางไว้ให้ เค้าก็เริ่มกระซิลกระซาบกัน แล้วก็หันมามองพวกเรา จนพวกเรามีความเห็นตรงกันว่า.....ถอยดีกว่า ไม่อาวดีก่า แล้วก็เช็คบิล รีบออกมาจากที่นั่นทันใด

ค่าอาหารมื้อนี้ ตกราว ๆ 600 กว่า บาท จำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ค่ะ ยังคุยกันเลยว่าค่อนข้างแพงถึงแพงที่สุดกับการนำอาหาร "ขยะ" มาให้ทาน
หนำซ้ำการคิดราคาค่าอาหาร ยังบวกแวตท์(ภาษีมูลค่าเพิ่ม) เข้าไปอีก 7 เปอร์เซ็นต์ ทำเหมือนเมืองนอกเลยค่ะ ระบบนี้ในเมืองไทยไม่ค่อยเห็น นอกจากตามโรงแรมหรือภัตตาคารใหญ่ ๆ ระดับอินเตอร์ ฯ

เดินกันออกมาจากร้าน ยังขนลุกอยู่ไม่หาย กับพฤติกรรมดังกล่าว
พวกเราคิดกันว่า ไม่ใช่ตัวลูกจ้างหรอก ที่จะกล้าทำแบบนั้น ถ้าหากว่าเจ้าของร้าน ไม่สั่งให้ทำ ไม่รู้จะหากำไรอะไรกันขนาดนั้นคะ ใช้วิธีสกปรกมากไปหรือเปล่า

เรื่องที่เราเจอนี้ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมานี้เองค่ะ ตอนแรกกะว่าจะเข้ามาเล่าให้ชาวพันธุ์ทิพย์ฟังตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสสักที ได้แต่เล่าให้เพื่อนฝูงคนรู้จักกันฟัง ให้เค้าได้ไปเล่า ต่อ ๆ กัน

อ้อ......วันนั้นกลับบ้านกันไป ตัวเรา ระหว่างทางกลับบ้าน ปวดท้องนิดหน่อย แบบมวน ๆ แต่ไม่เป็นไรมาก เพราะปกติ เป็นคนธาตุแข็ง ส่วนแม่แฟนเรา อายุ 60 แล้ว ท้องเสียทั้งคืนเลย แต่โชคดีที่ไม่เสียแบบหนัก ๆ และเพื่อนของแม่แฟน จากที่ได้โทรฯ สอบถามอาการกันแล้ว ก็มีท้องเสียบ้างเหมือนกัน 2-3 ครั้ง

ยังนึกเสียดายอยู่ว่าวันนั้นไม่ได้ถ่ายรูปไว้ จะได้มาโพสต์ให้เห็นกันจะๆ ไปเลย มีแต่กล้องจากโทรฯมือถือ ซึ่งไม่สามารถถ่ายเห็นในระยะนั้นได้
แต่คิดไปคิดมาอีกที ถ้ามีกล้องจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะกล้าถ่ายหรือเปล่า กลัวถูกอุ้มค่ะ
เมื่อประมาณเดือนที่แล้วนี่เอง หลังจากที่เราได้เล่าเรื่องนี้ให้แก๊งค์เพื่อนสนิทเราฟัง เราก็ได้มีโอกาสไปเดินสวนฯ อีกครั้ง เราก็เลยบอกเพื่อนๆ ว่า จำได้มั้ย เรื่องที่เคยเล่าให้ฟัง เดี๋ยวเราจะพาไปดูสถานที่จริง ก่อนไปถึง เราก็เตี๋ยมกับเพื่อน ๆ ว่า อะไรอยู่ตรงไหน ให้สังเกตอะไรส่วนไหนบ้าง

วันนั้นไปกันทั้งหมด 4 คนค่ะ รวมตัวเราด้วย ก็ทำเป็นว่า เดินหลงกัน แล้วก็ไปหยุดรอกันตรงที่เกิดเหตุพอดี ก็สายตาใครสายตามันค่ะ กวาดบรรยากาศรอบ ๆ กันใหญ่ เราเห็นแล้วก็ยังอดขำไม่ได้ ทำหน้าเหมือนคนหลงทางกันจริง ๆ เลย เราเองก็ยืนอยู่แถว ๆ นั้นด้วยเหมือนกัน ก็เห็นแบบเดิม ๆ เลยค่ะ เพื่อน ๆ เห็นแล้วต่าง ก็อุทานเป็นเสียงเดียวกันว่า "แหวะ"
โชคร้ายที่วันนั้น ยังไม่มีใครทานข้าวกันไปเลย แล้วก็เลยไม่กล้าทานข้าวนอกบ้านเลยค่ะวันนั้น ต้องหิ้วท้องกลับมาทำทานกันที่บ้าน

เข้าเรื่องต่อค่ะ หลังจากที่หมดแผนทำเป็นหลงทาง หาเพื่อนไม่เจอแล้ว
เราก็นัดกันว่า ให้เดินมาเรื่อย ๆ จนสุดร้าน ให้ไปจนถึงโซนที่เริ่มมีร้านขายของ ให้ไปรอกันแถว ๆ นั้นนะ (ตรงแถวนั้น ร้านแรกจะเป็นร้านขายกระโปรงแนวแขก ๆ ) ซึ่งเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งไปถึงก่อน ก็ยืนดูกระโปรงร้านนั้นอยู่ เมื่อเจอกันจนครบแก๊งค์ ก็เริ่มเม้าท์แตกกัน เจ้าของร้านเค้าก็ฟังอยู่ด้วย เค้าก็ถามขึ้นมาว่า "มีอะไรกันเหรอคะ" เราก็เริ่มเม้าท์พฤติกรรมร้านโถพลูให้ฟัง ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ พี่เค้าก็ทำ ปากจุ๊ ๆ แบบว่า ให้หยุดพูด ตอนแรกเราก็งง ๆ เอ๊ะ ทำไมเหรอ พี่เค้าก็ชี้ไปที่ข้าง ๆ ร้าน ช่องถัดไป อ้าว.......กลายเป็นส่วนจัดเตรียมน้ำของร้านโถพลูซะงั้น โห อะไรมันจะขยายสาขาได้มากมากก่ายกอง

เราหันไปมอง เพื่อน ๆก็มองตามกันไป มีคนอยู่ในนั้น 2 คน คนหนึ่งเป็นคนเดินเสริฟและเก็บแก้ว อีกคนหนึ่งเป็นคนตระเตรียมเครื่องดื่มไว้คอยท่า (จากการสังเกตค่ะ) อีกแล้วครับท่าน ภาพที่เห็นนั้น มันน่าขยะแขยงอีกแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาเจอภาพเหตุการณ์แบบนี้อีก แก้วน้ำต่าง ๆที่ผ่านการดูดดื่มมาแล้ว ถูกยกมาวาง หลอดถูกแยกออกไปรวมกันไว้ แน่นอนค่ะ นำกลับมาใช้ใหม่ แก้วน้ำที่ยังมีน้ำและน้ำแข็งค้างอยู่ ถูกเททิ้ง.....ไม่ล้างค่ะ นำน้ำแข็งชุดใหม่อัดใส่แก้วแล้วเสริฟเลยทันทีทันใด
โอ้.....พระเจ้าจอร์ช มัน......อะไรดี เกินบรรยายค่ะ

หันไปมองหน้าเพื่อน ๆ แล้วทำหน้าแหย ๆ ใส่กัน
หันไปมองหน้าพี่ขายกระโปรง พี่เค้าได้แต่ยิ้ม ๆ
" พี่ขา วันก่อนนู้หนูก็มาทาน เจอยิ่งกว่านี้อีกค่ะ"
พี่ขายกระโปรง ยังเอาแต่ยิ้ม
เรากะเพื่อน ๆ "โห เลวว่ะ ทำงี้ได้งัย" "แหวะ" "แบบนี้มันต้องแจ้ง" ฯลฯ
"พี่อยู่แถวนี้ก็คงพอเห็นบ้างใช่มั้ยคะพี่" เรายิงคำถาม
พี่เค้าก็ได้แต่ยืนยิ้ม คงไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะต้องขายของแถวนั้น
หลังจากที่พวกเราเม้าท์กันอย่างดุเดือด และกำลังจะเดินจากไป
พี่เค้าก็พูดขึ้นมาว่า " เห็นกันจนชินแล้วน้อง คนขายของที่จตุจักรเค้าไม่กินกันหรอกร้านเนี้ย"
กึ๋ย....หยอง

คือเรื่องจริงนะคะ ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ไม่ได้กุเรื่องใด ๆ ขึ้นมาทั้งสิ้น
แล้วเราก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับร้านนี้นะคะ ไม่ใช่พวกที่เข้ามาก่อกวน
ให้ร้านเค้าเสียหายค่ะ หากจะถามหาหลักฐาน ขอบอกว่า "ไม่มี"ค่ะ
แต่ถ้าอยากจะเห็นกับตา ลองไปที่ร้านดูนะคะ

ที่มา พันธุ์ทิพย์