Friday, May 22, 2009

ข่าวดี..ค้นพบว่า "ต้นมะรุม" เป็นยา "ลดไขมันป้องกันมะเร็ง" ได้

เมื่อวันก่อนได้ทราบข่าวว่า หลวงพ่ออนันต์กลับมาจากอเมริกาได้เล่าว่า มีฝรั่งที่รัฐฟอร์ลิดา สหรัฐอเมริกา นิยมปลูกต้นมะรุมกันที่หน้าบ้านแทบทุกบ้าน เพราะรู้ว่าเป็นตัวยารักษาโรคมะเร็งได้ ด้วยเหตุนี้ จึงได้พบว่าแพทย์ไทยก็รู้เรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน คือ รศ.ดร.สุธาทิพย์ ภมรประวัติ ได้บันทึกไว้ในหัวข้อว่า...

มะรุมลดไขมันป้องกันมะเร็ง

"มะรุม"
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ

ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก “ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม” ภาคเหนือเรียก “มะค้อมก้อน” ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก “กาแน้งเดิง” ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก “ผักเนื้อไก่” เป็นต้น

มะรุมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย

มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 3-4 เมตร ทรงต้นโปร่ง ใบเป็นแบบขนนกคล้ายกับใยมะขามออกเรียงแบบสลับ ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าด้านบน ดอกออกเป็นช่อสีขาว ดอกมี 5 กลีบ

ฝักมีความยาว 20-50 เซนติเมตร ลักษณะเหมือนไม้ตีกลอง เป็นที่มาของชื่อต้นไม้ตีกลองในภาษาอังกฤษ (Drumstick Tree) เปลือกฝักอ่อนสีเขียวมีส่วนคอด และ ส่วนมนเป็นระยะตามความยาวของฝัก เปลือกฝักแก่มีสีน้ำตาล เมล็ดมีเยื่อหุ้มลักษณะกลมมีสีน้ำตาล เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร เมล็ดแก่สามารถบีบน้ำมันออกมากินได้

มะรุมเป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ การปลูกการดูแลรักษาก็ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน เกษตรกรจึงมักนิยมปลูกมะรุมไว้ริมรั้วบ้าน หรือหลังบ้าน 1-5 ต้น เพื่อให้เป็นผักคู่บ้านคู่ครัวแบบพอเพียง ที่ไม่ต้องซื้อหา

คนไทยทุกภาคนิยมนำฝักมะรุมไปทำแกงส้ม ด้วยการปอกเปลือกหั่นฝักมะรุมเป็นชิ้นยาวพอคำ ถือว่าเป็นผักที่ทำแกงส้มคู่กับปลาช่อนอร่อยที่สุด จะต่างกันก็ในรายละเอียดของแกง ตามแบบอย่างของแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น แม้แต่ทางใต้ก็นิยมนำมะรุมมาทำแกงส้มปลาช่อน โดยจะใช้ขมิ้นเพื่อดับกลิ่นคาวปลาและเพิ่มสีสันของน้ำแกง ปรุงรสเปรี้ยวด้วยการใส่ส้มแขกแทนน้ำมะขาม และหั่นปลาช่อนเป็นแว่นใหญ่ไม่โขลกเนื้อปลากับเครื่องแกง

ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาว เพราะเป็นฤดูกาลของฝัก มะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้

ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหาร เช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนคร ใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง “ผงนัว” กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก

คุณค่าทางอาหารของมะรุม

มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค

ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน

นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
  • วิตามินเอบำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
  • วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
  • แคลเซียมบำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
  • โพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
  • ใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย

    น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ

ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมอ อกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้ แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก

ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบ มะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

ชะลอความแก่

กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมี สารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

ฆ่าจุลินทรีย์

สานเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู

ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง

สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ ชนิดหนึ่ง และ สารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุม สามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดย สารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้

การทดลองในหนู พบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง จากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม

ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล

จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน เทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม 100 กรัม (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
  • พลังงาน 26 แคลอรี
  • โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
  • ไขมัน 0.1 กรัม
  • ใยอาหาร 4.8 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
  • วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
  • วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
  • แคโรทีน 110 ไมโครกรัม
  • แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
  • ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม
  • แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)
พบว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและ ยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลงทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา)

กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด

กลุ่มที่กินมะรุม พบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย

ที่ประเทศอินเดีย มีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคน ที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนู ที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอล ในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง

สรุปว่า การให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดีย สามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง

ฤทธิ์ป้องกันตับ

งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลอง เกิดความเสียหายโดยยาไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤืธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรสอะลานีนทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทสและบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตัวจากยาเหล่านี้

ผลิตภัณฑ์มะรุมของต่างประเทศ จะอ้างฤทธิ์รักษามากมายทั้งที่ยัง ไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แค่ฤทธิ์ที่พิสูจน์ได้นี้ก็คงเพียงพอแล้วที่คุณจะเพิ่มใบ หรือ ฝักมะรุมในรายการอาหาร ของคุณมื้อกลางวันนี้

คะน้า เห็ด แอปเปิล องุ่น ดีต่อสุขภาพอย่างไร

สำหรับคนที่รักสุขภาพ...หันมาทาน ชีวจิต กันเถอะ นี่คือ ตัวอย่าง ผัก ผลไม้ ที่น่าสนใจ
  1. การกินคะน้าตาไม่เป็นต้อคะน้าเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด
    เป็นผักที่อุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร " ลูทีน " ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านมอีกด้วย

  2. การกินเห็ดป้องกันกระดูกพรุน
    คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการขาดวิตามินดีและแคลเซียม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุก็อาจเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ล่าสุดนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุทองแดงเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ และการขาดธาตุทองแดงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก ดังนั้นการกินอาหารที่มีธาตุทองแดงมาก เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น

  3. การกินแอปเปิลให้ปอดแข็งแรง
    ไม่ว่าจะกินแอปเปิลเขียวหรือแดงก็ดีต่อปอดเป็นที่สุด เพราะแอปเปิลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ " เคอร์ซีทิน " สารตัวนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย วิธีการกินแอปเปิลให้ได้สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือ ต้องกินผลสดทั้งเปลือก ซึ่งจะให้ได้รับสาร " เพกทิน " จากเปลือกแอปเปิลเพิ่มขึ้นด้วย สารเพกทินมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ส่วนคุณสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักการกินแอปเปิลจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่รู้สึกหิว เพราะในแอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีถึง 75 เปอร์เซ็นต์ การกินแอปเปิลสด ได้ประโยชน์มากมาย

  4. การกินองุ่นทั้งเมล็ดช่วยชะลอความแก่
    ใครที่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี เรามีวิธีการชะลอความชราด้วยการกินผลไม้ที่หาง่าย ๆ เช่น องุ่น และต้องเคี้ยวเมล็ดองุ่นด้วย เพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร " โอพีซี " (oligomeric proanthocyanidin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายใน ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยชะลอความชราและเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย

ประตูหลังเป็นเหตุ

คำถาม
หนูเสียสาวครั้งแรก กับแฟน โดยการมีอะไรกันที่ประตูหลัง เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว หลังจากนั้นผ่านมา 2 ปี ก็มีแฟนใหม่ เวลามีเพศสัมพันธ์ก็มีทางช่องทางปกติ แต่ตอนนี้เวลาถ่ายก็มักจะมีมูกเลือดออกมาบริเวณนั้น เกิดจากอะไร เป็นเพราะกิจกรรมรักครั้งนั้นทางประตูหลังหรือเปล่า...จากสาวน้อยคอยคำตอบ

คำตอบ
การเข้าทางประตูหลังอาจจะก่อให้เกิดปัญหาให้กับลำไส้ใหญ่ส่วนล่างเกิดการอักเสบได้ และถ้าหากคุณผู้ชายใส่อุปกรณ์เสริมอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนล่างซึ่งจะทำให้เชื้อโรคเข้าทางทวาร กล้ามเนื้อหูรูดทวารของอีกฝ่ายที่ได้รับการถ่างขยายจากการเสียดสีสูญเสียความยืดหยุ่นไป จะทำให้การอั้นหรือการขมิบบีบรัดตัวของรูทวารสูญเสียความกระชับแน่น

หากมีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลังบ่อย ๆ จะทำให้อั้นอุจจาระลำบาก การอักเสบติดเชื้อที่องคชาตซึ่งสอดใส่เข้าไปในช่องทวารสามารถได้รับเชื้อ นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ง่าย

เช่น โรคเริม หูดหงอนไก่ โรคไวรัสตับอักเสบบี หรือโรคยอดฮิต คือการติดเชื้อ HIV (เอดส์) การมีเพศสัมพันธ์ทางทวาร ก็มีโอกาสติดเชื้อเหล่านี้ได้ง่ายกว่า และมากกว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดเสียด้วยซ้ำ

ในความเห็นส่วนตัวของแพทย์ไม่สนับสนุนให้มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ซึ่งในกรณีของหญิงกับชายแล้วฝ่ายคุณผู้ชายอาจจะมีความสุข แต่นั่นหมายถึงการทำร้ายทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของผู้หญิงที่เป็นภรรยาเลยทีเดียว และตัวคุณเองก็อาจติดโรคทางเพศสัมพันธ์และทำให้เกิดปัญหาของท่อทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือองคชาตอักเสบได้

เนื่องจากในปัจจุบันไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักมา 2 ปีแล้ว และเวลามีเพศสัมพันธ์ทางประตูหน้าก็ปกติดี การมีกิจกรรมทางเพศด้านประตูหลังครั้งนั้นคงไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาของมูกเลือดออกเวลาถ่ายอุจจาระ

อาการดังกล่าวอาจจะเป็นปัญหาทางระบบทางเดินอาหารส่วนปลาย เช่น ริดสีดวงทวารหรือเปล่า ดังนั้นเลือดที่ออกทางทวารหนักเวลาถ่ายก็น่าจะเกิดจากอาการริดสีดวงทวารมากกว่า หรืออาจจะเกิดจากลำไส้อักเสบ ทวารหนักอักเสบหรืออาจจะเกิดจากโรคพยาธิในลำไส้ หากไปตรวจกับศัลยแพทย์ทางเดินอาหารก็จะได้คำตอบ

หากเป็นจากโรคริดสีดวงทวารหนัก คงต้องแก้ไขโดยเริ่มจากพยายามอย่าให้ท้องผูกเพราะจะได้ไม่เบ่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน ๆ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก ๆ เช่น ผัก ผลไม้ เพราะอาหารเหล่านี้จะช่วยเพิ่มกากใยในลำไส้ แถมยังป้องกันอาการท้องผูก ซึ่งอาการท้องผูกก็อาจจะทำให้ริดสีดวงทวารเป็นมากขึ้น

การรักษาขึ้นอยู่กับอาการมากน้อยแค่ไหน แล้วแต่ศัลยแพทย์จะพิจารณาให้การรักษาตั้งแต่การใช้ยาเหน็บ ยาทา ยารับประทาน การใช้ยิงริดสีดวง ส่วนการทำผ่าตัดคงเป็นทางออกสุดท้ายสำหรับคนที่เป็นริดสีดวงทวารขั้นหนัก

อย่างไรก็แล้วแต่ถ้าหากปัญหาของการถ่ายเป็นมูกเลือดอาจจะไม่ใช่เป็นปัญหาจากริดสีดวงทวารหนักแต่หากเป็นจากลำไส้อักเสบ ทวารหนักอักเสบหรืออาจจะเกิดจากโรคพยาธิในลำไส้ สามารถที่จะตรวจและรักษาได้อย่าได้กังวลใจ...ชูรัก ชูรส ออกอากาศทางช่อง 3 ทุกคืนวันพฤหัสบดี เวลา 24.00-00.30 น.

ชิคุนกุนยา คุณรู้จักโรคนี้ดีแล้วหรือยัง?

โรคชิคุนกุนยา

โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya) เป็นโรคติดต่อนำโดยแมลง คล้ายกันกับโรคไข้เลือดออกเด็งกี่ มีรายงานการระบาดครั้งแรกทางตอนใต้ของประเทศแทนซาเนียในทวีปแอฟริกา ในปี พ.ศ.2495

การระบาดที่พบครั้งล่าสุดในประเทศไทย ในเดือนกันยายน พ.ศ.2551 ที่ จ.นราธิวาสและปัตตานี (ณ ปัจจุบัน การระบาดลดลง แต่ยังไม่สิ้นสุด) ซึ่งทิ้งช่วงห่าง 13 ปี จากการระบาดครั้งก่อน

อาการของโรค : ไข้เฉียบพลัน ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดข้อ ข้อบวมแดงอักเสบและเจ็บ เริ่มจากบริเวณข้อมือ ข้อเท้า และข้อต่อของแขนขา อาจพบอาการปวดกล้ามเนื้อด้วย หลังจากนั้นจะเกิดผื่นบริเวณลำตัวและแขนขา มักไม่คัน หรืออาจมีผื่นขึ้นที่กระพุ้งแก้มและเพดานปาก ไข้อาจจะหายในระยะนี้ (ระยะ 2-3 วันหลังเริ่มป่วย) ผื่นนี้จะลอกเป็นขุยและหายได้เองภายใน 7-10 วัน พบต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโตได้บ่อย แต่อาการชาหรือเจ็บบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้าพบได้ไม่มาก อาการปวดข้อจะหายภายใน 2-3 วัน หรืออาจนานหลายสัปดาห์ และบางรายอาจเป็นเรื้อรังอยู่หลายเดือนหรือเป็นปี อาจพบอาการแทรกซ้อนไม่รุนแรงที่ตา ระบบประสาท หัวใจ และทางเดินอาหาร ผู้ติดเชื้อบางส่วนมีอาการอ่อนๆ ซึ่งอาจไม่ได้ถูกวินิจฉัยโรค หรือวินิจฉัยเป็นไข้เด็งกี่ แต่ในผู้สูงอายุอาการอาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้

ระยะฟักตัวของโรค : 2 - 12 วัน (โดยทั่วไป 4-8 วัน)

การวินิจฉัยโรค : ทำได้หลายวิธี โดยวิธีการตรวจหาไตเตอร์ในน้ำเหลือง เช่น Enzyme-linked immunosorbent assays (ELISA) เพื่อตรวจหาแอนติบอดี IgM หรือ IgG ต่อเชื้อ Alphavirus ซึ่งระดับ IgM มักจะสูงสุดช่วง 3-5 สัปดาห์หลังเริ่มป่วย และคงอยู่นานประมาณ 2 เดือน และอาจแยกเชื้อไวรัสจากเลือด

ผู้ป่วยระยะเริ่มมีอาการในช่วง 2-3 วันได้ โดยการเพาะเชื้อในลูกหนูไมซ์แรกเกิด ในยุง หรือในเซลล์เพาะเลี้ยง สำหรับวิธี RT-PCR (Reverse transcriptase–polymerase chain reaction) มีการใช้กันมากขึ้นในปัจจุบัน

การรักษา : ไม่มีการรักษาจำเพาะ ใช้การรักษาตามอาการ โดยเฉพาะอาการปวดข้อ กินยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ (ห้ามกินยาแอสไพรินลดไข้เป็นอันขาด เนื่องจะทำให้เกิดเลือดออกได้ง่ายขึ้น) และเช็ดตัวด้วยน้ำสะอาดเป็นระยะเพื่อช่วยลดไข้ รวมทั้งให้ผู้ป่วยดื่มน้ำและนอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง

การแพร่ติดต่อโรค : ติดต่อจากคนสู่คนโดยถูกยุงกัด ในเขตร้อนชื้นมักเกิดจากจากยุงลายบ้าน Aedes aegypti ซึ่งมักเป็นสาเหตุการระบาดในเขตเมือง ส่วนในเขตอบอุ่นและเขตหนาวมักเกิดจากยุงลายสวน Aedes albopictus ซึ่งมักเป็นสาเหตุของโรคในเขตชนบท ยุงลายทั้ง 2 ชนิดมีนิสัยชอบกัดในเวลากลางวัน (โดยเฉพาะช่วงเช้า ๆ และบ่ายแก่ ๆ) ยุงลายสวนชอบหากินบริเวณนอกบ้าน แต่ยุงลายบ้านชอบกัดดูดเลือดภายในอาคารบ้านเรือน

มาตรการป้องกันโรค : ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคชิคุนกุนยา (รวมทั้งโรคอื่น ๆ ที่มียุงนี้เป็นพาหะ) เป็นมาตรการสำคัญที่ต้องดำเนินการ ดังนี้
  1. ตระหนักและร่วมมือกันกำจัดหรือทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายให้อยู่ในระดับต่ำอยู่เสมอ (ซึ่งต้องเร่งรัดมากขึ้น ทั้งก่อนและในช่วงฤดูฝน และในช่วงที่เกิดการระบาด) รู้วิธีป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงลายกัด โดยต้องนอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวดแม้เป็นเวลากลางวัน จุดยากันยุง ทายากันยุง หรือสวมใส่เสื้อผ้าแขนยาว ขายาว เป็นต้น ซึ่งหากใช้มุ้ง ผ้าม่าน มู่ลี่ ฯลฯ ที่ชุบสารเคมีกำจัดแมลง ก็จะยิ่งป้องกันยุงได้ดียิ่งขึ้น
  2. สำรวจแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำตามภาชนะน้ำขังที่อยู่ในบ้านหรือบริเวณรอบบ้าน เช่น จานรองขาตู้กับข้าว แจกัน จานรองกระถางต้นไม้ โอ่งน้ำ ยางรถยนต์เก่า เป็นต้น และวิธีการควบคุมและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลาย เช่น ปิดฝาโอ่ง เปลี่ยนน้ำในจานรองขาตู้ แจกัน ฯลฯ ทุก ๆ 7 วัน ปล่อยปลากินลูกน้ำในอ่างบัว ขัดด้านในภาชนะที่อาจมีไข่ยุงติดอยู่ คว่ำกะลา กวาดเก็บใบไม้ (ตามพื้น หลังคาบ้าน ท่อน้ำฝน ฯลฯ) กำจัดยางรถยนต์เก่า หรือนำไปแปรสภาพและใช้ประโยชน์ ฯลฯ
มาตรการควบคุมการระบาด
  1. สำรวจและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงในบ้านและบริเวณรอบบ้าน โดยใช้วิธีการต่าง ๆ ร่วมกันตามความเหมาะสม เช่น การปกปิดภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด การหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำ (เช่น ทุก ๆ 7 วัน) การใส่ปลากินลูกน้ำ การใส่สารเคมีฆ่าลูกน้ำ เป็นต้น
  2. ฉีดพ่นยาฆ่าแมลงแบบพ่นหมอกควันหรือพ่นฝอยละออง เพื่อช่วยลดความชุกชุมของยุง โดยต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย
  3. ป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด
  4. กรณีที่มีผู้ป่วยโรคชิคุนกุนยาในบ้าน ต้องให้ผู้ป่วยนอนในมุ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายไปกัดและแพร่เชื้อได้ ซึ่งเชื้อโรคนี้จะแพร่ขณะที่มีไข้สูง (ในระยะ 2-3 วันหลังเริ่มป่วย)

Thursday, May 21, 2009

“น้ำอสุจิ”เปลี่ยนรสชาติได้

“น้ำอสุจิ”เปลี่ยนรสชาติได้
Posted on 22 เมษายน 2009 by มาริโอ้ เมาเหล้า

หนุ่มๆ หลายคนอาจจะกําลัง คิดหาวิธีเปลี่ยนรสชาติ

ของน้ำอสุจิให้เป็นแบบที่ผู้หญิงชอบ เพื่อให้เซ็กซ์ของคุณมีความสุขยิ่งขึ้น โดยวิธีเปลี่ยนรสชาติของน้ำอสุจิทําได้ค่ะ เพียงแค่เริ่มจากการเลือกทานอาหารเท่านั้น
  1. กาแฟ แอลกอฮอล์ กัญชา เมื่อทานหรือเสพของพวกนี้เข้าไป น้ำอสุจิจะมีรสชาติขม

  2. อาหารประเภทเนื้อ อย่างเนื้อวัว อาหารที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์จากนม ช็อกโกแลต หน่อไม้ฝรั่ง บร็อคโคลี ผักขม กระเทียม หัวหอม รสชาติของน้ำอสุจิจะฝาดหรือขมหน่อยๆ

  3. ผลไม้ เช่น สับปะรด มะม่วง องุ่น แอปเปิ้ล มะนาว ส่วนผัก เช่น ผักชีฝรั่ง ผักขึ้นฉ่าย สมุนไพรตระกูลมิ้นท์กลิ่นหอม อาหารพวกนี้จะทําให้รสชาติออกหวาน

  4. ทานมังสวิรัติ จะทําให้รสชาติอ่อนนุ่ม และกลิ่นของน้ำอสุจิไม่แรงน่าลิ้มลอง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การปรับปรุงพฤติกรรมการทานอาหารอย่างถูกสุขลักษณะ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการมีชีวิตเซ็กซ์ ที่ถูกต้องมากกว่าที่จะไปเน้นทําให้น้ำอสุจิของคุณมีรสชาติน่าลิ้มลอง

By - http://moolate.info/

Wednesday, May 20, 2009

4 ดิลโด้จากห้องครัว...ที่เสี่ยงต่อสุขภาพ

4 ดิลโด้จากห้องครัว...ที่เสี่ยงต่อสุขภาพ

ข้าวของในห้องครัวนี่ละ โดยเฉพาะพวกที่มีลักษณะเป็นแท่ง ด้าม ดุ้น หรืออะไรที่ยาวๆ สามารถนำมาแปลงเป็นดิลโด้มหาสนุกได้ดีเลยทีเดียวเชียว แถมบางอย่างยังมีรสชาติอร่อยลิ้น ใช้ไปก็ชิมไป อิ่มทั้งปากอิ่มทั้งอารมณ์ วู้ย...สุขสันต์เกินบรรยายออกมาเป็นคำพูด แต่ดิลโด้เทียมเหล่านี้ใช่ว่าพอเจอปุ๊บถูกใจก็คว้ามาใส่กันยับ หากใช้ผิดวิธีอาจเป็นอันตรายต่อ สุขภาพ ได้

ช็อกโกแลต แท่ง
มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมากมายถึง การสอดใส่ช็อกโกแลตแท่ง เข้าไปในน้องหนูเพื่อให้คู่รัก สามารถลองลิ้มชิ้มรสช็อกโกแลตปะแล่มๆ กับรสชาติของน้องหนูไปด้วย ซึ่งเป็นความคิดที่แย่มาก
เพราะน้ำตาลในช็อกโกแลตจะทำให้ค่า pH ของน้องหนูเสียสมดุล และนำไปสู่การติดเชื้อ ในกรณีที่สอดใส่เพียงเล็กน้อยและ ปฏิบัติการเลียไม่มากมายอะไรนัก
ผู้หญิงจะได้รับผลกระทบน้อย ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้และจำเป็นต้องจับน้องหนูมาเจอกับช็อกโกแลตละก็ แค่ป้ายไว้กับคลิตอริส ก็พอค่ะ ไม่ต้องถึงขนาดจับยัดเข้าไปข้างในก็ได้

ขวดไวน์
คอของขวดไวน์นี่ละ ถูกใช้เป็นดิลโด้มานักต่อนัก แถมผู้เข้าแข่งขันเรียลิตี้โชว์ ชื่อดังของอังกฤษ Big Brother ยังเคยโชว์การใช้ขวดไวน์ ให้โลกได้ตื่นตะลึงกันมาแล้ว ซึ่งการกระทำแบบนี้นับเป็นเรื่องไม่ฉลาดเอาเสียเลย เพราะแก้วเป็นวัสดุที่แตกง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ลองเทคนิคนี้ หลังจากดื่มไวน์ขวดนั้นจนเมาแอ๋แล้ว

กล้วย
แหม แค่เห็นชื่อก็ร้องโอ้ว...เยสกันเป็นแถว ถึงแม้รูปร่างของกล้วยจะยาวใหญ่และโค้งงอ ดูเหมาะสมและชวนให้นึกถึงอาวุธคู่กายของผู้ชายเหลือเกิน
การปอกกล้วยแล้วกินด้วยทีท่ายั่วยวนก็ดูอีโรติกดี แต่กล้วยที่ปอกเปลือกแล้วคิดจะใช้เป็นดิลโด้ดูจะเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่านัก
เพราะกล้วยจะอ่อนนิ่มเกินไป แถมยังบดบี้เละเทะอยู่ในน้องหนูอีกด้วย และน้ำตาลในผลไม้ก็ให้ผลกระทบเช่นเดียวกับที่ช็อกโกแลตแท่งมีต่อน้องหนู และทำให้น้องหนูติดเชื้อ...พานป่วยไปเลย

ผัก
พืชผักผลไม้มีหลายชนิดที่ธรรมชาติสร้างมา ราวกับต้องการให้ผู้หญิงคิดทะลึ่งตึงตัง โดยเฉพาะ ผักที่มีรูปร่างแข็งแน่นและยาวใหญ่อย่าง มะเขือยาว หัวไชเท้า แครอท และแตงกวา คือตัวแทนดิลโด้ในฝันของผู้หญิงทั้งโลก
ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องชำระล้างทำความสะอาดให้หมดจด เพื่อกำจัดยาฆ่าแมลงเป็นอันดับแรก และทำลาย เชื้อโรคให้สิ้นซากเป็นอันดับต่อมา และขอแนะนำให้สวมถุงยางอนามัยครอบผักเหล่านี้เพื่อความปลอดภัยไร้กังวล

Sunday, May 17, 2009

จุดลับของผู้หญิงที่ชายควรรู้

รู้มั้ยว่าผู้หญิงไวต่อการกระตุ้นที่จุดไหนมากที่สุด?

เป็นเรื่องที่ชายหลายคนอาจจะอาจยังไม่รู้ ถ้าจุดอ่อนเหล่านั้นได้รับการกระตุ้นอย่างถูกวิธี ไม่ว่ารายไหนรายนั้นเป็นได้เรื่องเสมอ

ต้นขาด้านใน (Inner Thighs) ต้นขาด้านใน เป็นตําแหน่งที่มีปลายเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยงมาก การได้รับการกระตุ้นอย่างแผ่วเบาไม่ว่าจากการ ลูบไล้ หรือโลมเลีย สามารถจุดประกายอารมณ์ของคุณผู้หญิง ให้เตลิดเปิดเปิงไปได้

ข้อพับเข่า (Behind the Knees) ตําแหน่งนี้ จะไวมากต่อการสัมผัสกับลมเป่าหรือการแทะเล็มเบาๆ จากริมฝีปาก รับรองคุณผู้ชายจะคาดไม่ถึง ถึงอาการและปฏิกิริยาตอบสนองจากฝ่ายหญิง ผมให้หลับตานึกภาพกันเอาเอง

แก้มก้น (Buttocks) การบีบเค้นแก้มก้นเบาๆ จะทําให้ฝ่ายหญิง รู้สึกเคลิ้มสบายและผ่อนคลายมากกว่าการจะปลุกสร้างอารมณ์ที่ตื่นเต้น แต่อย่างไรก็ตามจุดนี้ถือเป็นองค์ประกอบที่สําคัญในการที่จะสร้างความอุ่นใจ และพิสูจน์ความไว้ใจและมอบใจจากฝ่ายหญิง ให้ฝ่ายชายได้เป็นอย่างดีหากไม่มีการปัดป้องจากฝ่ายหญิง

ข้อมือ (Wrists) เป็นจุดเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ อีกแห่งที่ฝ่ายชายอย่าละเลย ไม่ว่าจะจากการสัมผัส ลูบไล้ด้วยมือ หรือ ประทับด้วยริมฝีปาก กัดเบาๆ ด้วยริมฝีปากหรือฟันหน้าของคุณ รับรองว่า จะเห็นผล อย่างคาดไม่ถึง