Saturday, December 18, 2010

คนใจยักษ์ ใช้ความรักเป็นเหยื่อ ทำร้ายคู่ชีวิตอย่างแสบสันต์

ผมอ่านเจอ Mail นี้ใน Mail Group แต่อ่านจบแล้ว รู้สึกว่า Subject ข้อคิดจากชีวิตจริง ก่อนจะมีเซ็กซ์ มั่นใจหรือไม่ว่าปลอดเอดส์ มันไม่เหมาะกับเนื้อหาเลย ก็เลยขอเปลี่ยนเป็นแบบที่ตัวเองคิดว่าเห็นสมควร ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นอย่างไรนั้น ลองอ่านดูกันก็แล้วกันครับ
เรื่องที่ 1
เด็กหญิงอายุ 15 ปี มารดามาแจ้งความ ว่าพ่อเลี้ยงกระทำชำเราลูกสาวระหว่างแพทย์ซักประวัติ ตรวจร่างกาย เด็กบอกว่า ถูกพ่อเลี้ยงปลุกปล้ำ แต่ในครั้งต่อๆมา ตัวเด็กยินยอมมีพสพ.โดยสมัครใจ พยาบาลแผนกสังคมสงเคราะห์ซักประวัติมารดา ถึงสภาพแวดล้อม ความสัมพันธ์ในครอบครัว ตัวคนเป็นแม่เล่าไปร้องไห้ไป ดูแล้วมีความคับข้องใจมาก คุณพยาบาลเข้าใจว่า มารดาคงจะเสียใจ ที่ลูกยอมนอนกับพ่อเลี้ยง

แต่ในที่สุด แม่ของเด็กก็เล่าความจริงออกมาว่า ตัวเธอตรวจพบว่า เป็นผู้ติดเชื้อมาหลายปีแล้ว สามีคนเก่าก็เสียชีวิตจากการติดเชื้อไปหลายปี จึงได้ย้ายที่อยู่ และ ในทีุ่สุดก็มาพบกับสามีคนปัจจุบัน และอยู่กินกัน โดยสามีใหม่ไม่ทราบ เพราะเธอเองกินยาสม่ำเสมอ สุขภาพแข็งแรงดีมาตลอด

แต่แล้ว เคราะห์กรรมก็มาตกกับลูกสาวอย่างคาดไม่ถึง!!!
เรื่องที่ 2

ผู้ชาย อายุราวๆ 35 ปี มาตรวจด้วยอาการอ่อนเพลีย มีไข้ ไอเรื้อรัง จากประวัติในใบส่งตัว ระบุว่าเป็นวัณโรคปอด และได้เจาะ HIV พบว่าผลเป็นบวก

เราเดินไปตรวจคนไข้ที่เตียง เลียบๆเคียงๆถามว่า หมอที่รพ.แรกได้แจ้งผลตรวจเลือดหรือไม่ คนไข้บอกว่าไม่ทราบ

จึงถามอีกว่า คนไข้มีโรคประจำตัวหรือไม่ เคยกินยาใดๆประจำหรือไม่ เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมา พบว่า ผป.โรคเอดส์บางส่วนจะทราบอยู่ก่อนแล้วว่าตนเองเป็นโรค แต่ไม่อยากบอกหมอตรงๆ ถ้าถามไปแบบอ้อมๆ อาจจะพอบอกบ้าง

ปรากฏว่า คนไข้รายนี้ ตอบคำถามอย่างซื่อๆ ดูแล้วไม่มีความสงสัยเลยว่าตัวเองติดเชื้อ

เราก็เลยหันไปหาภรรยา เพื่อจะถามอาการเพิ่ม พอมองหน้าฝ่ายหญิง เราก็ต้องตกใจ เพราะผู้หญิงคนนี้ เป็นผู้ติดเชื้อ ที่เราเคยรักษาในรพ.อำเภอเมื่อหลายปีก่อน
คนไข้มารับยาต้านกินอยู่ประจำ

เราทำเป็นจำเขาไม่ได้ ก็ลองถามเรื่องสุขภาพ ต่างๆนานา เขาก็บอกว่าแข็งแรงดี

เราได้แต่คิดว่า ทำไมเลือดเย็นแบบนี้ เห็นผู้ชายแล้วเวทนา ฝ้าขาวเต็มปาก ตามขาก็พุพอง ถ้าเขารู้ตัว่าติดเชื้อ ก็จะได้กินยา ในขณะที่ฝ่ายหญิง กินยามาตลอด 5 ปี ดูสบายดีทุกอย่าง

ก็ไม่ได้ถามหรอกนะ ว่าสามีใหม่หรือเก่า หรือจะเป็นสามีที่นำโรคมาติด เลยแก้แค้นซะ?? แต่ถ้าเป็นสามีใหม่ ก็น่าสงสารมากๆ
เรื่องที่ 3

ผู้หญิง อายุ 35 ปี มาฝากท้อง ตรวจเลือดพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อ คนไข้บอกว่าทราบมานานแล้ว และกินยาต้านอยู่ประจำ

สามีคนนี้เป็นคนที่สอง เพิ่งมาอยู่ด้วยกันได้ปีกว่าๆสามียังไม่เคยมีลูก ก็เลยไม่ได้ใช้ถุงยาง

เราถามว่า แล้วเขารู้หรือเปล่าว่าตัวคนไข้เป็นผู้ติดเชื้อ คนไข้ตอบว่า "คงรู้มั้ง ก็หนูมารพ.ทุกเดือน เขาคงรู้เอง"

เวรกรรม เราเชื่อว่าฝ่ายชายไม่รู้หรอก

เราไม่ได้ว่าเหมารวมผู้ติดเชื้อทั้งหมดนะ มันก็เหมือนสังคมทั่วไปหละ ต้องมีทั้งคนดี คนไม่ดี แต่อยากเตือนใจไว้ว่า ปัจจุบัน ยาต้านไวรัสมีจ่ายฟรีที่รพ.รัฐทุกแห่ง
ทำให้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีโอกาสรับยา จะว่าไปน่าจะเกือบ 100% เพราะตัดปัญหาค่าใช้จ่ายไปได้ บางคนถ้าอาย ก็ไปรับยาที่ต่างอำเภอที่ไกลจากบ้านตัวเอง

ผู้ติดเชื้อ ถ้ารับยาสม่ำเสมอ ร่างกายเขาก็จะแข็งแรงดี เหมือนได้เริ่มชีวิตใหม่

และในที่สุด ก็จะอยากมีครอบครัวใหม่ อยากมีคนรัก อยากมีลูก เพราะลึกๆแล้ว เขาอาจจะเชื่อว่า เขาหายแล้วก็ได้ เหมือนเป็นแค่ เบาหวาน ความดัน ที่กินยาทุกวันก็สบายดี

แล้วคนไทย ไม่นิยมเจาะเลือดก่อนแต่งซะด้วย จะว่าไป เคสเหล่านี้ก็มักจะไม่ได้แต่งงานอะไรกันเป็นเรื่องเป็นราว มักเป็นคนที่ผ่านชีวิตคู่มาบ้างแล้ว และก็เริ่มมีคู่ใหม่อย่างง่ายๆไม่มีพิธีรีตองอะไร

ก่อนจะแต่งงาน หรือมีเซ็กซ์กับใคร ถ้ายังไม่มั่นใจ ให้สวมถุงยางเสมอ
เรื่องที่ 4

อีกกลุ่มที่น่าห่วงคือวัยรุ่น

เคยพบเด็กวัยรุ่น ที่ติดเชื้อจากพ่อแม่ตั้งแต่แรกเกิด เธอได้รับการดูแลอย่างดีจากญาติๆ และไปตรวจรับยาตามหมอนัดทุกครั้ง สุขภาพร่างกายแข็งแรงมาตลอด

จนอายุ 19 เป็นสาวสวย ที่ดูแล้วแข็งแรงสมบูรณ์ แล้วเธอก็ท้องกับเพื่อนชาย เราถามเด็กว่า แฟนหนูรู้มั้ย ว่าหนูเป็นโรคอะไร เด็กตอบว่า "เขารู้ แต่เขาไม่กลัว" เออหนอ ไม่รู้ว่ากล้าหาญเพราะรักจริง หรือว่ามันเด็กจนไม่รู้จักกลัวอะไร

ถ้าคุณเป็นเธอ ที่ติดโรคจากแม่โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พอโตเป็นสาว อยากมีแฟนเหมือนคนอื่น คุณจะทำยังไง วัยรุ่นอายุเท่านี้ จะคิดถึงความรับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่นได้หรือไม่? ในเมื่อเขาก็มีความต้องการทางร่างกาย จิตใจเหมือนคนอื่นๆ

ล่าสุด เด็กสาวอายุ 15 มาคลอดลูก ตรวจเลือดพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อ เด็กคนนี้ติดจากเพศสัมพันธ์กับแฟนที่อายุมากกว่า

แล้วในวันข้างหน้า อนาคตอีกหลายสิบปีของเด็กคนนี้ เด็กจะมีความยับยั้งชั่งใจพอหรือเปล่า ที่จะไม่แพร่เชื้อสู่คนอื่นต่อไปอีก?

ในเมื่อเราห้ามคนอื่นไม่ได้ ก็จงระวังตัวของท่านเองให้ดีๆก็แล้วกัน
เรื่องที่ 5

ครั้งหนึ่งตอนที่จบตรีใหม่ๆ ด้วยหน้าที่การงานทำให้ต้องเข้าไปเป็นตัวเสริมในการให้คำปรึกษาเรื่องโรคเอดส์

ได้เจอคนที่กำลังจะแต่งงานกันคู่หนึ่งมาตรวจเลือด ผลปรากฏว่าฝ่ายชายติดเชื้อ รู้ตัวอยู่แล้ว ระหว่างรอผล แวะมาบอกแพทย์ว่าไม่ต้องการบอกฝ่ายหญิง เอาจรรยาแพทย์มาขู่ว่า หมอบอกผลเลือดของเขาให้แฟนรู้ไม่ได้ ถ้าเขาไม่ยินยอม

รายนี้เล่นเอาจิตตก เพราะนอกจากจะไม่ต้องการบอกแล้ว ยังจะเอาการตรวจเป็นประกันอีกว่าไม่มีโรค

พูดออกมาได้ว่า เดี๋ยวตอนเขาป่วยจะไม่มีใครดูแล

ช่างไม่คิดถึงผู้หญิงที่ตัวเองบอกว่ารัก ผู้หญิงที่แข็งแรงสมบรูณ์ ผู้หญิงที่มีความฝันว่าจะมีลูก จะสร้างครอบครัวกับคนที่เธอรักที่สุด

ในโรงพยาบาลส่งต่อกันให้วุ่น จนถึงมือจิตแพทย์ ก็ไม่รู้ว่าผลเป็นอย่างไรนะ เพราะขอลาออกจากทีมมาก่อน บอกหัวหน้าไปว่า คงยังเด็กไป วุฒิภาวะยังไม่พอจะรับมือกับเคสนี้

ให้คำปรึกษาก่อนตรวจนั้นทำได้ วางแผนเพื่อบอกผลก็ทำได้ นัดให้คำปรึกษาหลังจากที่รู้ผลแล้ว และต้องปรับตัวก็ทำได้

แต่จะให้นั่งมองหน้าฆาตกร นั่งฟังเขาระบายความห่วงใยตัวเองว่าจะไม่มีใครดูแลในอนาคต จนต้องทำลายคนอีกคนหนึ่ง มันทำไม่ได้จริงๆ

ปล ถึงตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับเคสแบบนี้ไหว
เรื่องที่ 6

แถมไปอีกสักอัน เมื่อวานนี้เอง

ผู้ชายอายุ 36 ปี ตายไม่ทราบสาเหตุ ประวัติจากภรรยาว่าไม่มีโรคประจำตัว อ่อนเพลีย ปวดหัวมากมาราวๆ 2 สัปดาห์ ไปตรวจแล้วCTแล้วก็ไม่พบความผิดปกติ แพทย์นัดตรวจในอีก 1 สัปดาห์แต่ตายไปก่อน

เรานั่งฟังประวัติ ดูอายุ ก็สั่งตรวจเลือดหา HIV ทันที ผลก็คือบวกไม่พลิกโผอะไร เจาะน้ำไขสันหลังมาส่อง .....แหม รายั้วเยี้ยเชียว ได้เหตุตายเรียบร้อย

แต่ที่ยากก็คือการบอกกับภรรยาเขานี่สิ เราบอกไปทั้งๆที่สงสารเขามากๆ พอภรรยาเขารู้ว่าสามีตัวเองตายจากอะไรนี่...จากที่ร้องไห้กลายเป็นนั่งนิ่งตาค้างแล้วก็พึมพำว่า "ไม่จริงๆ"

และที่มันน่าอนาถที่สุดก็คือการที่ผลออกมาว่าภรรยาของเขามีผลเลือดเป็นบวก เพิ่งแต่งงานกันมาได้แค่ปีกว่า และกำลังตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน......
.
.
.
ที่น่าเศร้าที่สุดก็คือ "กรณีนี้เป็นเคสทั่วๆไปที่พบได้แทบจะทุกสัปดาห์"

ที่มา ข้อคิดจากชีวิตจริง ก่อนจะมีเซ็กซ์ มั่นใจหรือไม่ว่าปลอดเอดส์


No comments: