เมื่อไม่นานมานี้ กระแสการรักษาความงามในinternet ได้มีแนวทางการรักษาสิวแบบใหม่(จริงๆเก่า) ออกมา นั่นคือ การรักษาสิวด้วยการใช้ยา"แอสไพริน"
แอสไพริน ยาที่ทางการแพทย์ใช้เป็นยาลดอาการอักเสบและกินป้องกันเส้นเลือดหัวใจอุดตันเม็ดละ50สต.แหละครับ
ปัญหาที่เกิดตามมาคือ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาปากต่อปาก บางครั้งทำให้มันดูลึกลับ ดูเหมือนกับเป็นการรักษาแบบใหม่ ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่
แต่มันเป็นวิธีการที่ใช้กันมานานแล้วในวงการความงามเพียงแต่ไม่ได้ทำอย่างที่ในinternetเล่า
อีกปัญหานึงคือในการรักษาแบบ"มหัศจรรย์ราคาถูก"ในinternet ไม่ได้บอกที่มาที่ไป และเล่าแต่ด้านดีเพียงด้านเดียว ... ผมจึงเห็นว่าสมควรที่จะต้องเอาความรู้เรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังให้ชาวMthaiได้รู้กันไว้
ปัญหาเรื่องสิว เป็นปัญหาที่วัยรุ่นส่วนใหญ่จะได้เจอ สาเหตุหลักๆของสิว มีอยู่สองสามอย่างได้แก่
สรุปข้อแรก
********* การใช้ยาแอสไพริน จึงได้ผลจริง ************
แต่ รู้ไหมครับ ทำไมเราไม่ใช้กันบ่อย สาร พวกนี้ เป็นสารควบคุม พวกกลุ่มสารที่ทำหน้าเด้ง เบบี้เฟส AHA จะมีการควบคุมการนำเข้า ...แต่สำหรับ BHA คุมยากจนถึงคุมไม่ได้ เพราะว่าแอสไพรินเป็นยาสามัญที่ใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและเป็นกลุ่มยาลดไข้แก้ปวดตัวนึง
ถามว่าทำไมต้องคุม
เพราะถ้าใช้ไม่เป็นหน้าจะพัง
สารพวกนี้ ตอนใช้แรกๆจะได้ผลดีมาก ใช้ปุ๊บมันจะทะลวงเข้าไปกำจัดขี้ไคลที่หมักหมมจำนวนมากจากหน้า วันแรกที่ใช้จะรู้สึกหน้าเด้งตึง หลังจากนั้นไม่มีขี้ไคลแล้ว ก็จะรู้สึกพอๆเดิม แต่ถ้าใช้ติดต่อกันนานไป หรือผสมผิดสูตรเข้มเกิน หรือทาทิ้งไว้นานเกินไป มันจะกัดหน้าครับ แทนที่จะกัดขี้ไคล มันจะกัดหน้าเนียนๆเข้าไปด้วยอย่างเบาะๆก็ตึงเจ็บอักเสบ ถ้าโชคไม่ดี กัดจนหน้าเป็นรอยด่างขาว vitiligo เป็นอันจบเห่ เพราะถ้าเกิดด่างขาวขึ้นก็คือกัดเข้าถึงชั้น dermisส่วน melanocyteหรือเซลล์ที่สร้างเม็ดสีผิว .... กว่าจะหายได้ก็ใช้เวลาเป็นปี ปัญหานี้จะไม่ค่อยพบในเครื่องสำอางค์ เพราะว่าส่วนผสมเขาศึกษามาแล้ว ความเข้มข้นก็ไม่ค่อยสูง และก็มีวิธีการใช้ที่ค่อนข้างแน่นอนระบุไว้
สรุปข้อสอง
***************** ถ้าผสมผิดหรือใช้ไม่ถูกวิธี หน้าพัง Chipหายวายป่วง ************
โดยสรุปแล้วสารเหล่านี้ ไม่ใช่สารพิเศษอะไรเลย เป็นสิ่งที่มีอยู่รอบตัวเราในปัจจุบัน ไม่ว่าจะAHAซึ่งมีในผลไม้และอาหารทั่วไป หรือจะเป็นBHAซึ่งก็หาซื้อได้ในราคาถูก เพียงแต่ว่าการจะนำมาใช้ในเครื่องสำอางค์ หรือเวชสำอางค์ ได้รับการค้นคว้าวิจัยปรับปรุงความเข้มข้นและศึกษาการดูดซึมและมีการใช้ที่แน่นอน ... ซึ่งผลก็คือ ราคาของมันจึงสูงตามไปด้วย ดังนั้นอ่านแล้วขอให้นำไปตรึกตรองครับ ถ้าอยากสวยอยากงาม ความเสี่ยงต่ำ ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่อาจจะแพงสักหน่อย
แต่ถ้าไม่อยากเสียเงินมาก แต่หวังผลมากอย่างเช่นการใช้แอสไพริน ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น
คุณเลือกเองได้ครับ
-=Byหมอแมว=-
แอสไพริน ยาที่ทางการแพทย์ใช้เป็นยาลดอาการอักเสบและกินป้องกันเส้นเลือดหัวใจอุดตันเม็ดละ50สต.แหละครับ
ปัญหาที่เกิดตามมาคือ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาปากต่อปาก บางครั้งทำให้มันดูลึกลับ ดูเหมือนกับเป็นการรักษาแบบใหม่ ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่
แต่มันเป็นวิธีการที่ใช้กันมานานแล้วในวงการความงามเพียงแต่ไม่ได้ทำอย่างที่ในinternetเล่า
อีกปัญหานึงคือในการรักษาแบบ"มหัศจรรย์ราคาถูก"ในinternet ไม่ได้บอกที่มาที่ไป และเล่าแต่ด้านดีเพียงด้านเดียว ... ผมจึงเห็นว่าสมควรที่จะต้องเอาความรู้เรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังให้ชาวMthaiได้รู้กันไว้
ปัญหาเรื่องสิว เป็นปัญหาที่วัยรุ่นส่วนใหญ่จะได้เจอ สาเหตุหลักๆของสิว มีอยู่สองสามอย่างได้แก่
- การติดเชื้อ(โดยเฉพาะเชื้อ P. acne)
- รูขุมขนอุดตัน
- ฮอร์โมน ดังนั้น เวลาคุณไปรักษาที่คลินิกความงาม คุณมักจะได้ยา3-4พวกได้แก่
- กลุ่มยาฆ่าเชื้อ ที่เจอบ่อยๆ ClindaM หรือยา Clindamycin ... บางคนก็จะได้ยาพวก Doxycyclineมากิน .... โดยทั่วไปแล้วทางสถานเสริมความงามจะจ่ายยาที่เป็น Broad spectrum antibiotic หรือยาฆ่าเชื้อที่ออกฤทธิ์กว้างขวาง ฆ่า เชื้อได้สัพเพเหระ
- กลุ่มผลัดเซลล์ผิว เช่น Retin A เร่งให้เซลล์เก่าถูกผลัดไป เซลล์ใหม่ขึ้นมาแทน
- กลุ่มกัดเซลล์ผิวเก่า (แก้รูขุมขนตัน) เช่น BHA, AHA, Benzoyl Peroxide พวกนี้จะไปกัดเอาผิวที่ตายแล้วออกไป ทำให้ผิวอ่อนๆข้างล่างเด่นขึ้น รวมทั้งกันไม่ให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
- กลุ่มฮอร์โมน เช่นยาคุม (ซึ่งถ้าจะให้บอก ผมไม่มีความรู้ทางด้านยาคุมกับการรักษาสิวเลยครับ)
ซึ่งหลายคนไม่อยากเสียเงินกับการรักษาพวกนี้ ก็จะมีวิธีที่ใช้กันมานานนมแล้ว คือ ฝานผลไม้แปะหน้าเช่นแตงกวา ส้ม มะนาว ..... บางคนไปพลิกดูส่วนผสมที่หลังขวด ยารักษาสิว ไปเห็นว่ามีsalicylic acid หรือ aspirin ก็ลองเอามาทดลองดู
ซึ่งความจริงแล้วกลุ่มยาที่มีส่วนทำให้ผิวหน้าดูดีพวกนี้ก็มี BHA AHAครับ
AHA เป็นพวกกรดกลุ่มต่างๆ เช่น
Malic acid กรดในแอปเปิ้ล
Citric กรดที่เจอในพวกกลุ่มผลไม้ซิตรัส เช่นส้มมะนาว
Tartaric acid กรดที่มีในองุ่น และ กล้วย
Lactic acid กรดที่ได้จากพวกนมเปรี้ยว (555)
... มันมีอีกตัวสองตัว ลืมไปแล้ว
BHA มีตัวเดียวคือ salicylic acid
ในทางการแพทย์เราใช้สารกลุ่มนี้ในการรักษาหน้า ซึ่งสรรพคุณของมันคือการทะลวงเข้าไปในชั้นผิวหนังส่วนบนหรือที่เรียกว่า Epidermis จากนั้นก็จัดการกัดทำลายและทำให้มันหลุดออกจากกัน เรียกง่ายๆว่าเป็นการขัดขี้ไคลโดยไม่ต้องออกแรง ใช้น้ำยาไปกัด ในทางการแพทย์ก็มีการใช้สารพวก AHA BHA และกรดบางชนิดในการทำความสะอาดผิวหน้า สูตรความงามของคนทั่วโลก ก็มีการเอาผลไม้ต่างๆมาฝานตัดแปะหน้า แตงกวา มะนาว ส้ม กล้วย Fruit salad นมเปรี้ยว บัวหิมะ ฯลฯ .... ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ส่วนหนึ่งมันก็คือAHAที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งโดยปกติจะมีอยู่ในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำจนใช้ได้ปลอดภัยไม่ทำลายผิวหน้า สำหรับการใช้salisylic acid ก็มีการใช้มานานแล้วครับ อยู่ในสูตรยาของร้านเสริมความงามทั่วไปและคลินิกความงาม บางทีเหนือกว่าaha เรื่องความระคายเคือง เพราะว่ามันเป็นยาลดอาการอักเสบด้วย เวลาใช้จะรู้สึกว่าไม่กัดมาก
สรุปข้อแรก
********* การใช้ยาแอสไพริน จึงได้ผลจริง ************
แต่ รู้ไหมครับ ทำไมเราไม่ใช้กันบ่อย สาร พวกนี้ เป็นสารควบคุม พวกกลุ่มสารที่ทำหน้าเด้ง เบบี้เฟส AHA จะมีการควบคุมการนำเข้า ...แต่สำหรับ BHA คุมยากจนถึงคุมไม่ได้ เพราะว่าแอสไพรินเป็นยาสามัญที่ใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและเป็นกลุ่มยาลดไข้แก้ปวดตัวนึง
ถามว่าทำไมต้องคุม
เพราะถ้าใช้ไม่เป็นหน้าจะพัง
สารพวกนี้ ตอนใช้แรกๆจะได้ผลดีมาก ใช้ปุ๊บมันจะทะลวงเข้าไปกำจัดขี้ไคลที่หมักหมมจำนวนมากจากหน้า วันแรกที่ใช้จะรู้สึกหน้าเด้งตึง หลังจากนั้นไม่มีขี้ไคลแล้ว ก็จะรู้สึกพอๆเดิม แต่ถ้าใช้ติดต่อกันนานไป หรือผสมผิดสูตรเข้มเกิน หรือทาทิ้งไว้นานเกินไป มันจะกัดหน้าครับ แทนที่จะกัดขี้ไคล มันจะกัดหน้าเนียนๆเข้าไปด้วยอย่างเบาะๆก็ตึงเจ็บอักเสบ ถ้าโชคไม่ดี กัดจนหน้าเป็นรอยด่างขาว vitiligo เป็นอันจบเห่ เพราะถ้าเกิดด่างขาวขึ้นก็คือกัดเข้าถึงชั้น dermisส่วน melanocyteหรือเซลล์ที่สร้างเม็ดสีผิว .... กว่าจะหายได้ก็ใช้เวลาเป็นปี ปัญหานี้จะไม่ค่อยพบในเครื่องสำอางค์ เพราะว่าส่วนผสมเขาศึกษามาแล้ว ความเข้มข้นก็ไม่ค่อยสูง และก็มีวิธีการใช้ที่ค่อนข้างแน่นอนระบุไว้
สรุปข้อสอง
***************** ถ้าผสมผิดหรือใช้ไม่ถูกวิธี หน้าพัง Chipหายวายป่วง ************
โดยสรุปแล้วสารเหล่านี้ ไม่ใช่สารพิเศษอะไรเลย เป็นสิ่งที่มีอยู่รอบตัวเราในปัจจุบัน ไม่ว่าจะAHAซึ่งมีในผลไม้และอาหารทั่วไป หรือจะเป็นBHAซึ่งก็หาซื้อได้ในราคาถูก เพียงแต่ว่าการจะนำมาใช้ในเครื่องสำอางค์ หรือเวชสำอางค์ ได้รับการค้นคว้าวิจัยปรับปรุงความเข้มข้นและศึกษาการดูดซึมและมีการใช้ที่แน่นอน ... ซึ่งผลก็คือ ราคาของมันจึงสูงตามไปด้วย ดังนั้นอ่านแล้วขอให้นำไปตรึกตรองครับ ถ้าอยากสวยอยากงาม ความเสี่ยงต่ำ ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่อาจจะแพงสักหน่อย
แต่ถ้าไม่อยากเสียเงินมาก แต่หวังผลมากอย่างเช่นการใช้แอสไพริน ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น
คุณเลือกเองได้ครับ
-=Byหมอแมว=-
Powered by ScribeFire.
No comments:
Post a Comment