Friday, December 21, 2007

6 คุณประโยชน์ยาคุมกำเนิด

ยาคุมถึงจะมีไว้เพื่อคุมกำเนิดก็จริง แต่สาวๆ รู้ไหมว่ายาคุมกำเนิดยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพถึง 6 ข้อเลยทีเดียว
  1. ช่วยให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการปวดท้องและอาการเครียดก่อนและขณะมีประจำเดือน รวมถึงช่วยป้องกันและลดภาวะโลหิตจาง และลดอาการปวดศีรษะไมเกรน

  2. ช่วยลดภาวะการเกิดสิว หน้ามัน และขนดก เพราะยาคุมกำเนิดบางชนิดจะมีฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ต่อต้านฮอร์โมนเพศชาย จึงช่วยทำให้อาการดังกล่าวลดลงได้

  3. ช่วยให้กระดูกแข็งแรง จากผลการวิจัยพบว่ายาคุมกำเนิดจะช่วยควบคุมฮอร์โมนภายในร่างกายให้อยู่ในระดับสมดุล จึงช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงก่อนและหลังหมดประจำเดือนได้

  4. ช่วยลดอาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือน โดยยาคุมกำเนิดจะมีส่วนช่วยบรรเทาและลดระยะเวลาของอาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือน เช่น อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล ท้องอืด มือเท้าบวมหรือปวดเมื่อยตามตัว

  5. ช่วยลดอุบัติการณ์ของมะเร็งรังไข่ เนื่องจากยาคุมกำเนิดจะป้องกันไม่ให้มีการตกของไข่ ดังนั้นจึงไม่มีผลกระทบต่อผิวของรังไข่ และทำให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่ผิวรังไข่

  6. ช่วยลดอุบัติการณ์ของภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกราน เพราะฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของมูกบริเวณปากมดลูก โดยทำให้เหนียวข้นขึ้น จึงช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคผ่านเข้าไปในโพรงมดลูกและอุ้งเชิงกราน
ที่มา หนังสือพิมพ์ สยาม*ดารา

Powered by ScribeFire.

สูตรพอกหน้าจาก 7 ประเทศ

สวัสดีค่ะ กลับมาเจอกันเป็นประจำทุกวันอังคาร วันนี้การ์ตูนก็มีเคล็ดลับดีๆ สำหรับใครที่อยากมีใบหน้าสวยใส ดูอ่อนกว่าวัย ซึ่งเป็นสูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ ที่การ์ตูนสรรหามาจากทั่วโลก เพื่อให้แฟนๆ คอลัมน์ของการ์ตูนได้บำรุงผิวหน้า ให้มีผิวที่ขาวใส แลดูอ่อนกว่าวัยกันถ้วนหน้าค่ะ เริ่มกันที่สูตรแรก
  • สูตรที่ 1 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ จากประเทศญี่ปุ่น
    วิธีทำ เริ่มด้วยการฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซี และกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด

  • สูตรที่ 2 พอกหน้าด้วยไข่ขาว จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
    วิธีทำ ตอกไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

  • สูตรที่ 3 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง จากประเทศสเปน
    วิธีทำ เริ่มจากล้างหน้าให้สะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง จากนั้นใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพักศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออกให้สะอาด

  • สูตรที่ 4 พอกหน้าด้วยแอปเปิล จากประเทศเบลเยียม
    วิธีทำ ปอกแอปเปิลแล้วคว้านเอาไส้และเมล็ดออก จากนั้นบดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก

  • สูตรที่ 5 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว จากประเทศรัสเซีย
    วิธีทำ สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้

  • สูตรที่ 6 พอกหน้าด้วยแตงโม จากประเทศตุรกี
    วิธีทำ จัดการฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

  • สูตรที่ 7 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง จากประเทศฝรั่งเศส
    วิธีทำ ด้วยการผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
ลองเอากลับไปทำกันดูนะคะ มีให้เลือกตั้ง 7 สูตร ทำง่ายๆ แถมวัตถุดิบเป็นของที่ได้มาจากใกล้ๆ ตัว และเป็นสิ่งที่ได้มาจากธรรมชาติโดยเฉพาะ รับรองว่าใบหน้าขาวสวยใสคงอยู่ไม่ไกลเกิน เอื้อมแน่นอน...

ที่มา หนังสือพิมพ์ สยาม*ดารา

Powered by ScribeFire.

Wednesday, December 19, 2007

Nu Skin Galvanic Spa System II - Demonstration



Powered by ScribeFire.

Nu Skin - Galvanic Spa



Powered by ScribeFire.

Tuesday, December 18, 2007

กินอย่างฉลาด ต้องอ่านฉลาก

เวลาที่ไปซูเปอร์มาร์เก็ต เคยสังเกตฉลากที่ข้างบรรจุภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้อกันบ้างมั้ย? นั่นแน่! ไม่เคยเลยละสิ คุณรู้มั้ยคะว่านั่นสําคัญมากเลยนะ เพราะมันจะทําให้รู้ว่าสิ่งที่กําลังจะหยิบลงตะกร้าอยู่นี่ มีคุณค่าทางโภชนาการมากน้อยแค่ไหน ว่าแล้วก็มาเริ่มสํารวจเจ้าฉลากกันเลยดีกว่า
  1. สิ่งแรกที่จะเห็นก่อนก็คือ Serving Size และ Calories Per Serving ซึ่ง Serving Size จะแสดงอยู่ในหน่วยของถ้วย, ช้อน, ชิ้น, หรือกรัม และจะบอกถึงปริมาณอาหารต่อหนึ่งหน่วยบริโภคด้วย ส่วน Serving Per Container จะแสดงถึงจํานวนของการบริโภคต่อหนึ่งบรรจุภัณฑ์ค่ะ

  2. Amount Per Serving จะแสดงถึงจํานวนแคลอรีต่อหนึ่งหน่วยบริโภค และถ้าหากคุณคูณตัวเลขนี้ด้วย Serving Size มันจะไปเท่ากับหรือใกล้เคียงกับปริมาตรทั้งหมดที่มีอยู่ในบรรจุภัณฑ์นี้

  3. Calories From Fat หากรู้จํานวนแคลอรีที่มาจากไขมัน ก็จะสามารถช่วยให้คุณจํากัดปริมาณของไขมันได้อีกทางหนึ่งใช่มั้ยล่ะคะ ทางที่ดีใน 1 วัน คุณไม่ควรรับแคลอรีจากไขมันเกิน 30% นะจ๊ะ

  4. % Daily Value ในส่วนนี้จะบอกถึงเปอร์เซ็นต์ของสารอาหารที่จะได้รับในหนึ่งหน่วยบริโภค (คิดจากพลังงาน 2,000 แคลอรีต่อวันค่ะ)

  5. Total Fat คือจํานวนไขมันเป็นกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค

  6. Cholesterol จะบอกคุณว่ามีคอเลสเตอรอลอยู่กี่มิลลิกรัม และเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ให้ด้วย

  7. Sodium/Salt ปกติร่างกายควรได้รับโซเดียมน้อยกว่า 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเกลือประมาณ 1 ช้อนชาค่ะ

  8. Total Carbohydrates จะแสดงปริมาณของคาร์โบไฮเดรตเป็นกรัมและเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเลขนี้จะรวมถึงแป้ง คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ไฟเบอร์ สารให้ความหวาน และสารปรุงแต่งที่ย่อยยากด้วยค่ะ

  9. ไฟเบอร์ คือ คาร์โบไฮเดรตที่ย่อยไม่ได้และช่วยในเรื่องการขับถ่ายด้วยค่ะ ซึ่งแต่ละวันคุณควรรับไฟเบอร์อย่างน้อย 15 กรัมนะคะ

  10. โปรตีน อาหารส่วนใหญ่จะมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบ แต่ในเนื้อ ปลา เป็ด ไก่ และผลิตภัณฑ์ที่มาจากนมจะมีมากกว่าอาหารทั่วไปเป็นพิเศษ และใน 1 วัน คุณควรรับโปรตีนประมาณ 50-100 กรัมค่ะ


Powered by ScribeFire.

ดูแลผมให้ยาวเร็วขึ้น

ใครที่ผมสั้น แล้วอยากให้ผมเร็ว ๆ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีดูแลให้ผมยาวเร็วขึ้นมาฝากกัน...

ขั้นตอน
  • สระผมและนวดผมให้เรียบร้อย ใช้ผ้าขนหนูค่อย ๆ ซับผม อย่าขยี้ผมเด็ดขาด โดยเฉลี่ยแล้วผมคนเราจะยาวประมาณครึ่งนิ้วต่อเดือน

  • ดังนั้นถ้าอยากให้ผมยาวเร็วขึ้น แสกผมไว้ซัก 5-6 แถว บีบวิตามิน อี แบบแคปซูลสำหรับทาหน้า นำมาทาตามรอยแสก นวดบำรุงให้ทั่วหนังศรีษะ ผมจะยาวเร็วขึ้น

  • อย่าลืมที่จะทำทรีทเม้นท์สัปดาห์ละครั้ง เพราะจะทำให้มีสุขภาพผมที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

การทำทรีทเม้นท์หมักผมแบบธรรมชาติ

  • บดกล้วยหอมผสมกับน้ำผึ้ง พอกให้ทั่วทั้งศรีษะ ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก

  • อีกสูตรหนึ่ง คือ คั้นดอกอันชัญสดกับน้ำสะอาด จนได้น้ำอันชัญสีน้ำเงินอมม่วง หมักผมทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก สูตรนี้จะทำให้ผมดูดกดำเงางาม

  • ถ้าเป็นคนผมแห้ง ต้องการให้ผมดูเงางาม ใช้แฮร์โค้ต 2-3 หยด ชโลมและนวดให้ทั่วศรีษะ แต่ถ้าเป็นคนผมมัน ไม่ควรทำวิธีนี้
ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

ที่มา เดลินิวส์

Powered by ScribeFire.

กระดูก โครงสร้างของร่างกาย

ใช่ว่าจะกินแต่แคลเซียม แล้วจะทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ไม่เป็นสาวกระดุกเปราะ หลังโก่ง เมื่อเป็นคุณยาย เพราะทุกวันนี้คุณอาจเผลอกินอาหารที่ทำลายกระดูกแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้

อาหารที่ลดความหนาแน่นของกระดูก
  1. ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 2 ถ้วย มีงานวิจัยล่าสุดจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุว่า กาแฟแค่ 2 ถ้วยก็มากพอที่จะทำให้กระดูกเปราะบางได้ เนื่องจาก คาเฟอีนในกาแฟ จะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ ว่าแล้วสาว ๆ ที่ติดกาแฟ ก็ดื่มน้อย ๆ ลงจะดีกว่านะ

  2. น้ำอัดลม มีงานวิจัยล่าสุดพบว่าเครื่องดืมเย็นซ่าชื่นใจชนิดนี้ มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะกระดูกหักง่ายค่ะ โดยผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ จะมีโอกาสเกิดกระดูกพรุนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 3-4 เท่าทีเดียวละ อยากให้กระดูกแข็งแรง ดื่มให้น้อยลง จะดีกว่านะ
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของกระดูก ผู้หญิงที่มีอายุเกิน 30 ปีแล้ว ความหนาแน่นของกระดูก นอกจากจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเริ่มลดลงด้วย หากช่วงก่อนหน้านี้ คุณไม่ได้บำรุงกระดูกให้แข็งแรงเต็มที่ ก็อาจทำให้คุณกลายเป็นยายแก่ ที่กระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกบริเวณสะโพก ซึ่งจะเจ็บปวดและทรมานมาก นอกจากนี้ ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงราว ๆ 2 เปอร์เซ็นต์ทุก 1 ปี ในขณะที่การกินแคลเซียม เมื่ออายุมากขึ้น ไม่ได้ช่วยความเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูกแต่อย่างใด เพียงแต่ช่วยชะลอการสูเสียปริมาตรของกระดูกลง มาเริ่มต้นสร้างความแข็งแรงให้กระดูกตั้งแต่วัยสาว ๆ หน้ายังใสดีกว่า

วิธีเสริมความแข็งแรงให้กระดูก
นอกจากการหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายความหนาแน่นของกระดูกแล้ว ควรหาวิธีปกป้องและเสริมความแข็งแรงให้กระดูกกันตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า
  1. ออกกำลังกาย เป็นวิธีที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรงค่ะไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง แอโรบิค เล่นเทนนิส ยกเวท กระโดดเชือก ช่วยเสริมความหนาแน่นให้กระดูกได้ ยกเว้นการว่ายน้ำที่กลับไม่ได้ผลดีนัก

  2. รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม แคลเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัที่สุดสำหรับกระดูกและฟัน โดยเฉพาะแคลเซียมในนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต เนยแข็งเป็นแคลเซียมที่ดูดซึมได้ดี แต่ก็มักได้ไขมันเป็นของแถมหากเลือกเป็นนมพร่องมันเนย ก็น่าจะปลอดภัยกว่า นอกจากนี้ อาหารพื้นบ้านเช่นปลากรอบ กุ้งแห้ง กะปิ ผักใบเขียว เต้าหู้แผ่น และถั่วเหลือง ก็เป็นเป็นอาหารที่มีแคลเซียมสูงเช่นกัน โดยเฉพาะถั่วเหลืองนั้นนอกจากช่วยชะลอความเสื่อมของ กระดูกแล้ว ยังลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมอีกด้วย

  3. ควบคุมน้ำหนักตัว การที่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไปจะทำให้คุณเสี่ยงกับการเป็นโรคกระดูกผุได้

  4. เลิกสูบบุหรี่ สาวๆ ที่ติดบุหรี่ มักมีปัหาโรคกระดูกผุก่อนเวลาได้ เนื่องจากบุหรี่ จะขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้

  5. วิตามินดี วิตามินดีช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ ช่วยเพิ่มปริมาตรของกระดูกได้ โดยเฉพาะนม มีทั้งแคลเซียมและวิตามินดีสูง แต่การซื้อวิตามินดีมารับประทานจะทำให้เกิดการสะสมในร่างกายมากเกินไป และเกิดอันตรายได้
พลังมหัศจรรย์ในอาหาร เป็นยาขนานวิเศษที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ไร้โรคภัยมาเบียดเบียน
  1. เต้าหู้...คุณภาพคับก้อน จากเมล็ดถั่วเหลืองซึ่งจัดว่าเป็นยอดขุนพลของพืชตระกูลถั่ว ถูกแปลงโฉมมาเป็นเต้าหู้หลากหลายรูปแบบ มีทั้งชนิดก้อน ชนิดหลอด จะเลือกแบบแข็งหรือแบบนิ่มก็ยังได้ เลือกได้ตามใจชอบกัน ราคาก็ไม่แพง หาซื้อได้ง่าย แต่ให้คุณค่าสูงอุดมด้วยโปรตีน เหล็กและแคลเซียม แต่ปลอดคลอเรสเตอรอล ดร.แอนเดอร์สันแห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี ระบุว่า การกินเต้าหู้ เป็นประจำทุกวันจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และยังช่วยป้องกันการผิดปกติของฮอร์โมนที่จะก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำใส้ สำหรับสาวๆ ที่ต้องการมีผิวพรรณที่สดใสผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรรับประทานเต้าหู้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง จัดเมนูอาหารเต้าหู้ไว้บนโต๊ะอาหารทุกวันนอกจากสุขภาพจะดีแล้ว ผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอีกด้วยเห็นไหมคะ คุณภาพคับก้อนจริงๆค่ะ

  2. มะเขือเทศ พระเอกตัวจริงของอาหารอิตาลี ผลไม้สีสันสดใสชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก ต่อมาได้นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในยุโรป แต่กลายมาเป็นพระเอกตัวจริงในอิตาลี ชาวอิตาลีจัดได้ว่าเป็นนักบริโภคมะเขือเทศตัวยงอาหารยอดฮิตของอิตาลีล้วนมีมะเขือเทศเป็นส่วนผสม สำคัญ เคล็ดลับความอร่อยของอาหารอิตาลีจึงอยู่ที่ซอสมะเขือเทศนี่แหล่ะค่ะ ผลสรุปของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า การบริโภคมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศในปริมาณสูง สามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งหลายชนิด ได้ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งในช่องท้อง เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้วิตามินเอและซีในมะเขือเทศก็ยังช่วยให้สุขภาพผิวสดใส ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงกันเลยทีเดียว

  3. กินกระเทียมให้เป็นยาโดยไม่ต้องพึ่งใบสั่งแพทย์ คงจะคุ้นเคยกันดีสำหรับพืชสมุนไพรชนิดนี้เพราะแทบทุกครัวเรือนต่างมีไว้คู่ครัว ถ้าศึกษาจากผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแล้ว เราอาจจะต้องเก็บกระเทียมไว้เคียงคู่กับตู้ยาก็เป็นได้ ดร.วาร์โรอี. ไทเลอร์ ที่ปรึกษาคณะเภสัชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเพอดู เวส ลาฟาเยต พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเสมือนยาแอส-ไพริน คือทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น สารอัลลิซินในกระเทียม จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การกินกระเทียมเป็นประจำทุกวันโรคหัวใจก็ไม่ถามหากันง่าย ๆ เพราะกระเทียมเป็นตัวช่วยลดปริมาณคลอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดียังไม่หมดนะค่ะ สำหรับสรรพคุณของกระเทียม .. หากเราย้อนประวัติศาสตร์ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กระเทียมเป็นผู้ช่วยตัวเอกในการรักษาบาดแผลของทหาร เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อโรคสารพัดชนิด ทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ก่อนจะหยิบอาหารเข้าปากในมื้อต่อไป อย่าลืมกระเทียมสดๆสัก 2 ช้อนชา รับประทานคู่กับอาหารมื้ออร่อยของคุณนะคะ คุณจะได้สารอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยาทีเดียว

  4. แก้นิสัยโกรธง่ายด้วยโยเกิร์ต ดร.เม็ทชนิคอฟแห่งสถาบันปาสเตอร์ ในฝรั่งเศส ได้สรุปผลงานของเขาไว้ว่า การกินโยเกิร์ตทุกวัน จะทำให้สุขภาพดีและอายุยืน จุลินทรีย์แลคโตแบคซิลัสในโยเกิร์ต จะช่วยสร้างยาปฎิชีวนะใน ลำใส้ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบททีเรียต่างๆ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลำใส้ ป้องกันกระเพาะจากการเป็นแผล ลดไขมันในเส้นเลือด และยังช่วยไม่ให้ฟุ้งซ่านและโกรธง่ายอีกด้วย

  5. อัศวินสำหรับร่างกาย ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูงระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันและหัวใจวายแน่นอน อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดีเยี่ยม 6 อัศวินตัวสำคัญนั้น คือ มะเขือต่างๆ หอมหัวใหญ่ กระเทียม ถั่วเหลือง แอปเปิ้ลและโยเกิร์ต วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน เช่น เมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันๆ ก็ควรรับประทานมะเขือเปราะ หรือมะเขือพวงมากๆ
เมื่อรับประทานไข่มากๆ ซึ่งเป็นตัวเพิ่มคอเลสเตอรอลที่น่ากลัวนัก คุณก็ควรรับประทานหอมหัวใหญ่ร่วมกับไข่เจียวหรือไข่ดาวด้วย หรือรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ผลทุกๆ วัน หรือโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วยทุกๆ วัน รับประทานกระเทียมสดๆเล็กน้อยกับอาหารจานยำ จานคาวต่างๆ เพื่อขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย อันเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายกว่าการเลิกรับประทานอาหารมันๆ ทุกจานโดยสิ้นเชิง คุณยังสามารถรับประทานเนยแฮม เบคอน ขาหมู ไข่ หรือ อาหารไขมันสูงจานต่างๆ ได้ในบางมื้อบางวัน หากเพียงคุณรู้จักรับประทานอาหารอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว อาหาร 6 อย่างนี้ยังมีคุณค่าของสารอาหารและแร่ธาตุสำคัญ ที่จะนำประโยชน์สู่ร่างกายของคุณอย่างมากมายในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น แอปเปิล หอมใหญ่และโยเกิร์ต ช่วยให้คุณขับถ่ายดี ผิวพรรณสวยงาม เป็นต้น

เรื่องกล้วยๆ
การกินกล้วยหอมหนึ่งผล ไม่เพียงแต่ทำให้อิ่มท้องเท่ากับข้าวหนึ่งจานเท่านั้น แต่กล้วยยังให้ผลทางยาและสมุนไพรที่ข้าวไม่มี คือสามารถดูแลและรักษากระเพาะอาหารของเราได้ ดร.จีนคาร์เพอร์ นักโภชนาการ แจ้งว่า กล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยในกระเพาะ (dyspepsia) ได้เป็นอย่างดี การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะทำให้กระเพาะแข็งแรง ปัญหาจากกรดในกระเพาะจะลดลง ผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น นอกจากนี้ กล้วยยังมีฤทธิ์ทางปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อได้อีกด้วย จากการศึกษาผู้ป่วย 46 คน ที่มีอาการปวดในกระเพาะ โดยไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร โดยจัดให้ผู้ป่วยจำนวน 23 ราย ได้รับกล้วยผงบรรจุแคปซูลทุกวัน ส่วนอีก 23 ราย ให้รับแคปซูลของยาหลอกที่บรรจุแป้งธรรมดา พบว่าผ่านไปได้ 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ได้รับผงกล้วย ร้อยละ 50 ไม่มีอาการปวดเกิดขึ้นเลย และร้อยละ 25 มีอาการดีขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน ร้อยละ 20 เท่านั้นที่บอกว่ามีอาการค่อยยังชั่วขึ้น แสดงให้เห็นว่าการรับประทานกล้วย แม้ว่าจะอยู่ในรูปของกล้วยผงก็สามารถช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้ .

Powered by ScribeFire.

สุขหฤหรรษ์ โดยไม่ล่วงเกิน

ก็เหมือนกับเรื่องราวด้านอื่นๆ ของชีวิตประจำวัน ชีวิตด้านที่ว่าด้วยเรื่อง 'เซ็กซ์' ก็มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นงานประจำที่น่าเบื่อ โชคดี...มีวิธีแก้ไขก่อนจะกลายเป็นเช่นนั้น

คนเราส่วนใหญ่ พอพูดถึงเรื่องเซ็กซ์ หรือคิดจะมีเซ็กซ์ คนเรามีแนวโน้มที่จะหมกมุ่นอยู่แต่กับอากัปกิริยาล่วงเกิน 'เข้า' และ 'ออก' ซึ่งเป็นวิธีขั้นพื้นฐานในการสร้างความพึงพอใจ จนลืมสนุกกับความสุขหรรษาอื่นๆ อีกมากมายที่มากับเซ็กซ์

เพื่อตัดวงจรที่จะนำเซ็กซ์ไปสู่งานประจำอันน่าเบื่อ พวกเราจำเป็นต้องนึกอยู่ในใจเสมอ ว่าความจริงแล้ว ร่างกายภายนอกของเรา นี่แหละ ยังมีอะไรอีกมากที่สร้างความสุขได้

วิธีค้นหาคำตอบให้กับคำถามนั้นคือ

พยายามสร้างความสุขทางกายให้ภรรยา โดยต้องหักห้ามใจให้ได้ อย่าใช้วิธีร่วมรักกับเธอ!
นี่คือคำแนะนำ 5 ขั้นตอนสำหรับผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ ในการเริ่มต้นสำรวจเรือนร่างของแต่ละฝ่าย เพื่อค้นหาว่าเราสามารถหาความสุขจากเรือนร่างภายนอกได้อย่างไรบ้าง

ขั้นที่ 1 : อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว

ตอนนี้เราต้องมาปรับความเข้าใจกันก่อน ว่าความสุขทางเพศของฝ่ายชาย จะได้รับคืนกลับมาโดยตรง จากการที่ผู้ชายมอบความสุขให้กับฝ่ายหญิง ไม่ต้องกังวลว่าวิธีมอบความสุขให้ฝ่ายหญิง ฝ่ายชายจะสนุกด้วยหรือไม่ เพราะยิ่งฝ่ายชายทำให้ฝ่ายหญิงพึงพอใจมากเท่าใด ผลที่ได้รับตอบกลับก็จะรุนแรงเท่ากัน ที่สำคัญคือ อย่าทำอะไรที่เป็นการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวก่อน แต่จงสร้างความสุขให้กับคู่รักก่อน แล้วสิ่งที่ทำไปก็จะตอบสนองคืนกลับมา การมีเซ็กซ์ ใครก็ทำได้ ทำเร็ว-ทำช้าแค่ไหนก็ได้ แต่การมีเซ็กซ์ที่ประทับใจ ขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณสะสมการปลุกเร้าที่ค่อยๆ สร้างขึ้นจนถึงขีดสุด

ขั้นที่ 2 : ใช้ทรัพยากรอื่นๆ ที่มี

กติกาของเกมนี้คือ 'ห้ามร่วมรัก' ซึ่งรวมหมายถึง ต้องใช้เวลาให้น้อยเข้าไว้กับการให้ความสนใจไปที่บริเวณอวัยวะเพศ ยิ่งทำเป็นละเลย ยิ่งยืดเวลาไม่แตะต้องนานออกไป อีกฝ่ายก็จะยิ่งตื่นเต้นเร้าใจ ซึ่งในที่สุดคุณสองคนก็จะได้รับความสุขมากพอๆ กันในตอนจบ แต่ตอนนี้ ห้ามร่วมรัก ห้ามแตะต้องบริเวณส่วนสำคัญ แต่ให้ลองใช้มือ ปาก นิ้วมือ ร่างกาย แม้กระทั่งหนวดที่เพิ่งโกน สัมผัสร่างกายส่วนอื่นๆ ของคู่รัก ด้วยการจูบ สัมผัสด้วยลิ้น โอบกอด สะกิดสะเกา หายใจรด ลูบไล้ แล้วจับตาปฏิกิริยาตอบสนอง ว่าเธอชอบแบบไหน จากนั้น จดจำวิธีที่คุณทำ แล้วเธอแสดงอาการตอบสนองว่าชอบมาก ในการร่วมรักครั้งต่อไป ขณะที่คุณร่วมรัก ลองทำวิธีนั้นพร้อมกันไปด้วย นอกจากร่างกายตัวเอง ยังมีเครื่องทุ่นแรงอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์อีก อย่างเช่นน้ำแข็งก้อน ผ้าแพรพันคอ หรือของอื่นๆ ที่คุณนึกออก

ขั้นที่ 3 : สำรวจอาณาบริเวณ

ย้อนกลับไปพิจารณาสรีระส่วนต่างๆ ของคู่รักในขั้นตอนที่สอง ขั้นตอนที่สามนี้จะตั้งข้อสังเกตให้คุณระมัดระวังส่วนของร่างกายที่ไวต่อความรู้สึกมากเป็นพิเศษ หรือมีความละเอียดอ่อนมาก ซึ่งจะถูกกระทบหรือสัมผัสแรงๆ มากไม่ได้ ถ้าเป็นบริเวณที่ผิวหนังมีความหนาพอประมาณ การถูกแรงสัมผัสหลายๆ รูปแบบ ก็มักไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นผิวหนังที่ละเอียดหรือมีความบางมาก ก็ต้องระวังว่าเธอจะระคายเคืองหรือรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่หากถูกแรงสัมผัส เป้าหมายของคุณคือ สร้างความสุข ไม่ใช่สร้างความเจ็บปวดหรือทำให้เธอช็อก ใบหู ซอกคอ เนินไหล่ แผ่นหลัง แม้กระทั่งรักแร้ เป็นบริเวณของร่างกายที่แตะต้องได้ง่ายเป็นลำดับแรก ลำดับต่อไป ลองสัมผัสบริเวณเอว หน้าท้อง หน้าท้องช่วงล่าง ขาอ่อน ด้านหลังเข่า นิ้วเท้า

ขั้นที่ 4 : อย่าให้เธอเดาออก

แม้ว่าคุณจำเป็นต้องทำให้นิ่มนวลตรงขาอ่อนด้านใน ซอกคอ ใบหู รักแร้ เข่าด้านหลัง แต่ระหว่างที่เธอกำลังตื่นเต้นอยู่นั้น เปลี่ยนเป้าหมายบนร่างกายของเธอไปยังจุดที่สามารถใช้ความดุดันเล็กๆ น้อยๆ ได้ สลับกันไปมาระหว่างจุดละเอียดอ่อนกับจุดหยาบบนร่างกาย ถ้าเธอเดาไม่ออกว่าคุณจะทำอะไรเป็นลำดับต่อไป เธอยิ่งตื่นเต้นเป็นทวีคูณ

ขั้นที่ 5 : ยอมแพ้

ยิ่งทำให้คู่รักตื่นตัวทางเพศตามที่เธอพึงพอใจนานเท่าใด นาทีที่เธอถึงจุดสุขสุดยอดยิ่งรุนแรงเท่านั้น หากวิธีที่คุณสัมผัสร่างกายภายนอกของเธอ ทำให้เธอส่งสัญญาณว่าพร้อมจะถึงจุดสุขสุดยอดเต็มที่แล้ว จงยอมแพ้ อย่าแกล้งเธอต่อไป ช่วยให้เธอได้ในสิ่งที่เธอต้องการ ระหว่างนั้นอาจใช้ริมฝีปากหรือมือ สัมผัสบริเวณทรวงอกหรือบริเวณต่ำกว่าเอวของเธอไปด้วยก็ได้ หลังจากเธอถึงจุดสุขสุดยอด ปล่อยให้เธอมีเวลาพักสองสามนาที เธออาจพร้อมอีกครั้งสำหรับสถานการณ์จริง

ที่มา คลินิครัก

Powered by ScribeFire.

มาเพิ่มอาหารสมองกัน

ทุกวันนี้เราต้องใช้สมองคิดอะไรหลายอย่างในชีวิตมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้สมองเราเหนื่อยล้าได้ หากปล่อยปละละเลยไม่สนใจ อาจทำให้เรากลายเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้นะค่ะ เราขอแนะนำอาหารที่มีประโยชน์ในการบำรุงสมองมาให้คุณๆได้รู้จักกันค่ะ

ธัญพืช สาวขี้ลืมอย่างนี้ต้องหันมากินอาหารที่มีธัญพืชสูงแล้วค่ะ เช่น ซีเรียลธัญพืช รำข้าว หรือข้าวซ้อมมือ เพราะจากผลการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่ได้รับกรดโฟลิคมากๆ วิตามินบี12 และวิตามินบี6 จะมีความจำดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้รับสารอาหารเหล่านี้เลย

บลูเบอร์รี่ จากการวิจัยของ Tufts University สหัฐอเมริกา ได้แนะนำว่า สารสกัดจากบลูเบอร์รี่สามารถช่วยป้องกันอาการความสั้นได้ค่ะ

ไขมันจากปลา กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างโอเมก้า 3 ที่พบในปลาที่มีไขมัน หรือไขมันจากวอลนัทและเมล็ดจากต้นแฟล็กซ์ จะมี DHA (Decosapentaenoic Acid) สูง ซึ่งเป็นกรดที่สำคัญต่อเซลล์สมองของเราเพราะถ้าหากระดับของ DHA ในร่างกายต่ำ จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์และความจำเสื่อมได้ นอกจากนี้ปลาก็ยังมีไอโอดีน ช่วยให้ความจำดีขึ้นด้วยค่ะ

มะเขือเทศ มีหลักฐานยืนยันว่า ไลโคพีนซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิเดนท์ที่พบในมะเขือเทศ สามารถช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระที่พบในอาการของโรควิตกจริตและโรคอัลไซเมอร์

ซีเรียล คนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์จะมี Homocysteine อยู่ในปริมาณที่สูงกรดโฟลิคและวิตามินบี 12 จะสามารถช่วยขัดขวางการสะสมของ Homocysteine ตามส่วนต่างๆของร่างกายได้ และซีเรียลเองก็เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินบี 12 แถมยังมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนอีกด้วย ช่วยให้พลังงานนานและทำให้ความจำ Alert ตลอดทั้งวัน

Black Currant เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าวิตามินซีจะช่วยเสริมสร้างความจำของเราให้ว่องไวขึ้น และแหล่งที่มีวิตามินซีอยู่เยอะก็คือ ต้นBlack Currant นี่แหละค่ะ

เมล็ดฟักทอง สังกะสีมีความสำคัญในการช่วยเพิ่มความจำและทักษะในการคิด ดังนั้น หากคุณกินเมล็ดฟักทองวันละ 1 กำมือ จะทำให้ได้รับสังกะสีเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

บร็อกโคลี เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินเค ช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการเรียนรู้และช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ

ถั่ว จากผลการวิจัยที่ลงในAmerican Journal of Epidemiology ได้แนะนำเอาไว้ว่า วิตามินอีช่วยในการป้องกันความจำเสื่อม และถั่วเองก็เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินอี นอกจากนี้วิตามินอียังพบได้ในผักใบเขียว เมล็ดพืช ไข่ ข้าวซ้อมมือ และธัญพืชค่ะ

ที่มา woman plus

Powered by ScribeFire.

ดื่มน้ำชาวันละ 4 ถ้วยช่วยชะลอโรค

นักวิจัยพบว่า “น้ำชา” ซึ่งจัดว่าเป็นเครื่องดื่ม ประจำชาติของชาวเมืองผู้ดีอังกฤษนั้น มีคุณประโยชน์มากกว่าน้ำเสียอีก หากดื่มมันให้ได้ถึงวันละ 4 ถ้วยหรือมากกว่านั้น

เว็บไซต์นิวอินด์เพรสส์ดอทคอม (www.newindpress.com) รายงานว่าการดื่มน้ำชาไม่เพียงแต่จะช่วยดับกระหายเท่านั้น แต่มันยังมีประโยชน์ช่วย ป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ คนมักจะเชื่อกันว่าการดื่มน้ำชาจะทำให้ปัสสาวะบ่อย แต่จากข้อมูลของนักวิจัยกลับบอกว่า ที่จริงแล้วน้ำชาสามารถช่วยเติมน้ำในร่างกายคนเราได้ พร้อมกันนี้ยังพบว่าประชากรผู้สูงอายุมักจะไม่ค่อยดื่มน้ำกันสักเท่าไร งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการดื่มชาวันละ 3 ถ้วยช่วยลดความเสี่ยงในอาการหัวใจวายลงได้ 11 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังมีฤทธิ์ขจัดปัดเป่ามะเร็งบางชนิดออกไปได้ รวมทั้งมะเร็งลำไส้ด้วย

ประโยชน์ด้านอื่นของการดื่มชาก็ยังมี เช่น ลดอาการฟันผุ และช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ กระดูก งานศึกษาบางชิ้นยังแนะนำด้วยว่าคาเฟอีนในชาช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น กุญแจสำคัญของเรื่องนี้นั้นอยู่ที่สารต้านอนุมูลอิสระ ชื่อฟลาโวนอยด์ ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในชา มีสรรพคุณสำคัญช่วยป้องกันเซลล์ถูกทำลาย

แคร์รี รักซ์ตัน นักโภชนาการและนักวิจัยบอกว่า ชาวอังกฤษส่วนใหญ่ดื่มน้ำชากันน้อยกว่าวันละ 3 แก้ว ซึ่งจัดว่าต่ำกว่าเกณฑ์ “สุขภาพดี” แถมบางคนยังคิดเชื่อผิดๆ อีกว่าการดื่มน้ำชาจะยิ่งทำให้ กระหายน้ำมากขึ้น เพราะที่จริงแล้ว น้ำชาช่วยดับกระหายมากกว่า ทั้งยังมีหลักฐานอีกด้วยว่าการดื่มชาจะมีประโยชน์ต่อหัวใจและดีกว่าดื่มน้ำเสียอีก เพราะในน้ำชามีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย

สำหรับคนไทยอย่างเรา เมื่อรู้ถึงคุณประโยชน์ของน้ำชาอย่างนี้แล้ว จะลองนับว่าดื่มชาครบวันละ 4 ถ้วยหรือยัง ก็คงไม่เสียหายอะไร

ที่มา นสพ.ไทยรัฐ

Powered by ScribeFire.

อันตรายจากภาชนะหุงต้ม

อันตรายจากภาชนะหุงต้มในครัว..ที่คุณลืมคิด

ในยุคที่ผู้คนตื่นตัวในเรื่องของสุขภาพ สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเราหวาดผวากันมากคือสารพิษปนเปื้อนที่มากับอาหาร แต่สารพิษส่วนหนึ่งที่เราได้รับอาจเกิดขึ้นจากภาชนะในครัวเรือนที่ใช้กันอยู่ทุกวัน

เมื่อหลายปีที่แล้วนักวิจัยได้เตือนผู้บริโภคว่า อะลูมิเนียมอาจมีส่วนที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ทำให้ผู้บริโภคพากันโยนหม้อ กระทะที่ทำจากอะลูมิเนียมทิ้งเป็นจำนวนมาก แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันพบว่าอะลูมิเนียมที่ละลายออกมาปนในอาหารมีปริมาณเพียงเล็กน้อยซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมหุงต้มอาหารจึงค่อนข้างปลอดภัย

ภาชนะที่ทำจากสเตนเลส

เป็นภาชนะที่นิยมใช้รองลงมา สเตนเลสมีส่วนผสมของโลหะหลายชนิด เช่น นิกเกิล โครเมียม เหล็ก และโมลิบเดนัม จากการวิจัยพบว่าภาชนะเครื่องครัวที่ทำจากสเตนเลสอาจให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสเตนเลสมีส่วนผสมของโครเมียมและธาตุเหล็กซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เมื่อนำมาใช้หุงต้มก็จะมีธาตุเหล่านั้นออกมาปะปนในอาหารเพียงเล็กน้อยจึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่กลับให้ประโยชน์ต่อผู้ที่ขาดโครเมียมและธาตุเหล็ก

แต่ขณะเดียวกันสารนิกเกิลอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการของผิวหนังได้ในผู้ที่แพ้นิกเกิล อย่างไรก็ตามนิกเกิลจะละลายออกมาในอาหารที่เครื่องปรุงมีฤทธิ์เป็นกรด เช่น การใช้น้ำส้มสายชูหรือซอสมะเขือเทศ สำหรับคนที่มีอาการแพ้สารนิกเกิลก็อาจจะเลือกใช้ภาชนะสเตนเลสที่เคลือบสารอีนาเมลซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด

ภาชนะที่ทำมาจากทองแดง

ตอบสนองต่อความร้อนได้ดี แต่ถ้านำมาปรุงอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดจะสามารถละลายทองแดงออกมาได้ ทองแดงจะเป็นธาตุที่สำคัญต่อร่างกายในการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง การได้รับทองแดงในปริมาณเล็กน้อยไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ แต่ถ้าร่างกายได้รับการสะสมทองแดงในปริมาณมากเกินระดับที่ควรมีในเลือด จะทำให้เกิดอาการท้องเสียและอาเจียนจากทองแดงเป็นพิษได้ เพื่อป้องกันปัญหานี้ภาชนะที่ทำจากทองแดงจึงได้รับวิวัฒนาการขึ้นมาด้วยการเคลือบดีบุก แต่ดีบุกที่เคลือบไว้ก็จะมีการเสื่อมไปตามอายุการใช้งาน ฉะนั้นเมื่อใช้ไปนาน ๆก็ควรจะมีการเปลี่ยนใหม่

ภาชนะที่เคลือบสารเทฟลอน

สารชนิดนี้ช่วยป้องกันการติดของอาหาร ทั้งยังทำความสะอาดง่าย และช่วยลดปริมาณไขมันในการปรุงอาหารได้ด้วย เพราะภาชนะหากไม่เคลือบเทฟลอนจะต้องใช้น้ำมันมากขึ้นเวลาผัดหรือทอดเพื่อไม่ให้อาหารติดกระทะ อนึ่งหากมีการลอกหลุดของสารที่เคลือบปะปนกับอาหารก็จะไม่เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เนื่องจากเป็นสารที่ไม่เป็นพิษ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมเข้าไปได้และจะถูกขับถ่ายออกมา

ภาชนะเซรามิก

ภาชนะชนิดนี้มีส่วนผสมของสารตะกั่วอยู่ หากมีอยู่ในปริมาณที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้ เมื่อนำไปใส่อาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด รวมทั้งมีข้อเตือนว่าไม่ควรใช้ภาชนะประเภทนี้กับ กาแฟร้อน ชาร้อน ซุปมะเขือเทศ และน้ำผลไม้เพราะจะทำให้สารตะกั่วละลายออกมาได้

สารตะกั่วเป็นอันตรายต่ออวัยวะและระบบต่างๆของร่างกาย เช่น ตับ ไต ระบบสืบพันธุ์ ระบบหมุนเวียนโลหิตหัวใจ ระบบภูมิต้านทาน และระบบย่อยอาหาร สารตะกั่วจะถูกดูดซึมเข้าไปสะสมอยู่ในอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะในกระดูกจะสะสมปนกับแคลเซียม เพราะร่างกายไม่สามารถจะแยกระหว่างสารตะกั่วและแคลเซียมได้ ถ้าสารตะกั่วสะสมในปริมาณมากจะทำให้เกิดพิษได้ ถ้าเกิดขึ้นในเด็กสารตะกั่วจะทำลายเซลล์สมอง ทำให้สมรรถภาพในการเรียนรู้เสียไป ยับยั้งการเจริญเติบโตทำให้ร่างกายแคระแกรน และตายในที่สุด

ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ภาชนะเซรามิกบรรจุเก็บรักษาอาหาร หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน


ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัยในการใช้ภาชนะ

หลีกเลี่ยงการเก็บรักษาอาหารเป็นเวลานานๆ ในภาชนะหุงต้ม เมื่อปรุงอาหารเสร็จแล้ว อาหารที่เหลือควรเก็บไว้ในภาชนะพลาสติกหรือภาชนะที่ทำด้วยแก้ว
ทำความสะอาดภาชนะตามคำแนะนำของผู้ผลิต หลีกเลี่ยงการขัดถูที่จะทำให้ผิวหน้าของภาชนะถลอกหรือหลุดลอก

พลาสติกในครัวเรือนปลอดภัยเพียงใด ?

สารเคมีที่สลายจากพลาสติกสามารถผ่านเข้าไปในอาหารได้ไม่ว่าจะถูกความร้อนหรือไม่ แต่ความร้อนและแสงจะเร่งกระบวนการให้เกิดเร็วขึ้น คำถามที่ตามมาคือสิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในอนาคตได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารประเภทที่ทำลายฮอร์โมน สารประเภทนี้จะรบกวนหรือยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนธรรมชาติในร่างกาย ลดปริมาณอสุจิ ทำให้เด็กเป็นสาวเร็วกว่าอายุที่ควรและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

พลาสติกที่สลายตัวสามารถที่จะผ่านเข้าไปปะปนกับอาหาร พบได้มากในภาชนะใช้ใส่อาหารซื้อกลับบ้าน อาหารที่บรรจุในภาชนะประเภทนี้เป็นเวลานานจะมีกลิ่นและรสของพลาสติกชนิดนี้ติดมาด้วย

อาหารประเภทที่เป็นกรดจะดูดซึมสารพลาสติกได้ดีกว่าอาหารชนิดที่เป็นด่างหรือกรดต่ำ ความร้อนสูงๆ เช่นจากเตาไมโครเวฟ และความเย็นจากตู้เย็นสามารถเพิ่มปริมาณการดูดซึมสารพลาสติกเข้าไปในอาหารได้

แม้แต่พลาสติกที่ใช้กับเตาไมโครเวฟก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ อันตรายที่มักเกิดขึ้นคือผู้บริโภคมักใช้ภาชนะพลาสติกที่ไม่ได้ระบุว่าใช้กับตู้อบไมโครเวฟอุ่นอาหาร ทำให้พลาสติกละลายเข้าไปในอาหารและยังทำลายรสชาติของอาหารที่อุ่น

ข้อแนะนำสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติก

เวลาอุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ เลือกภาชนะที่ทำจากแก้วหรือเซรามิคแก้ว หลีกการเลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติกแม้จะระบุว่าปลอดภัยในการใช้กับไมโครเวฟ
ไม่ใช้พลาสติกห่ออาหารในการปรุงหรืออุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ
อาหารประเภทเนื้อสัตว์หรือซีสใช้วัสดุประเภทโฟลีเอ็ทธีลีนห่อเพราะไม่มีสารพลาสติก หรือถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นห่อด้วยแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์หรือกระดาษไข
อาหารที่เหลือ เก็บไว้ในภาชนะประเภทที่ทำด้วยแก้ว
ภาชนะพลาสติกที่เก่าชำรุดไม่ควรนำมาใช้ต่อ
เตาไมโครเวฟ

สิ่งที่ผู้บริโภคต้องระวังในการใช้เตาไมโครเวฟ

คือ ภาชนะที่ใช้ใส่อาหารประเภทโลหะ กระดาษอะลูมิเนียม นมบรรจุในกล่องกระดาษที่บุด้านในด้วยอะลูมิเนียม จานชามที่มีขอบเป็นโลหะเงินหรือโลหะทอง ไม่ควรใช้กับเตาไมโครเวฟ โลหะ เช่น ลวดที่ใช้มัดถุงพลาสติกควรแกะออก มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดการติดไฟและอาจเกิดไฟไหม้ภายในตู้อบไมโครเวฟได้

สารรังสีที่รั่วจากเตาไมโครเวฟ มีอันตรายเพียงใด

ปริมาณของสารรังสีที่รั่วจากตู้อบไมโครเวฟค่อนข้างต่ำ และไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะก่อให้เกิดอันตราย สิ่งที่แม่บ้านควรระวังเป็นพิเศษ คือ เมื่อวัสดุตามขอบประตูชำรุดหรือหากมีรอยร้าวและรอยแตก เศษอาหารติดอยู่ตามขอบตู้ทำให้ประตูปิดไม่สนิท หรือ การชำรุดของตู้เนื่องจากการขนย้าย หรือเกิดเปลวไฟภายในตู้จะทำให้มีปริมาณรังสีรั่วมากกว่าระดับปกติซึ่งเป็นอันตรายได้

สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ใส่เครื่องควบคุมระบบการทำงานของหัวใจ (pacemakers) โดยเฉพาะรุ่นเก่าซึ่งไม่สามารถจะป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากตู้อบไมโครเวฟเหมือนเครื่องควบคุมรุ่นใหม่ ควรอยู่ห่างจากตู้อบไมโครเวฟประมาณ 5 ฟุต และพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ


ที่มา นิตยสาร : Healthandcuisine

Powered by ScribeFire.

โรคช๊อกโกแลตซีส (cyst) โรคภายในที่ผู้หญิงควรรู้

"ช็อกโกแลตซีส (cyst) โรคภายในของผู้หญิงที่มีโอกาสเป็นได้ทุกคน" ช็อกโกแลตซีส หมายถึง ถุงน้ำที่มีของเหลวภายใน ลักษณะเหมือนช็อกโกแลต คำ 2 คำนี้ มีความหมายแตกต่าง และ เป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิงไม่น่าที่จะมาเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกันได้เลย
และนับวันผู้หญิงหลายคนก็เริ่มที่จะคุ้นหูกับคำว่า "ช็อกโกแลตซีส" หรือ โรคที่ทางการแพทย์เรียกว่า "เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิด" (endometriosis) กันมากขึ้น

เพราะเดี๋ยวนี้หันไปทางไหน ก็ต้องเจอใครสักคนในบรรดาเพื่อนพ้องสาวโสดเป็นโรคฮิตโรคนี้กันเยอะเหลือเกิน ช็อกโกแลตซีส เกิดขึ้นได้อย่างไร อันตรายมากไหม ทำไมจึงพบมากในผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน แล้วจะรักษาอย่างไรต้องผ่าตัดรังไข่ทิ้งหรือไม่ จะต้องกินยาฮอร์โมนไปตลอดชีวิตหรือเปล่า ฯลฯ พบกับคำตอบที่คุณอยากรู้ เหล่านี้ได้จาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์สมชาย สุวจนกรณ์แพทย์ จากภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวช วิทยาคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ที่มาของชื่อ ถุงน้ำช็อกโกแลต ช็อกโกแลตซีสก็คือถุงน้ำของรังไข่แบบหนึ่ง ซึ่งลักษณะของถุงน้ำชนิดนี้ภายในจะมีของเหลวที่คล้ายกับช็อกโกแลตเหลว ซึ่งความจริงก็คือถุงเลือด คือจะมีเลือดอยู่ในถุงนั้น เมื่อเลือดหยุดไหลน้ำก็ถูกดูดซึมกลับทำให้เลือดในถุงเข้มขึ้น และเมื่อเลือดค้างอยู่ในถุงน้ำนานๆ ก็กลายเป็นสีน้ำตาล มีลักษณะเหมือนช็อกโกแลต จึงเรียกเป็นถุงน้ำช็อกโกแลต สำหรับสาเหตุของการเกิดถุงน้ำช็อกโกแลต ในทางการแพทย์เชื่อว่าเกิดจากเลือดระดู หรือเลือดประจำเดือนไหลย้อนกลับ คือแทนที่เลือดนั้นจะออกมาทางช่องคลอดของผู้หญิงตามปกติ

อาจจะมีเลือดระดูส่วนหนึ่งมีการไหลย้อนกลับเข้าไปผ่านทางหลอดมดลูก แล้วก็เข้าไปในช่องท้องไปฝังตัวที่รังไข่จนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำขึ้น และเนื่องจากลักษณะเซลล์ของถุงน้ำเป็นเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกอันหนึ่งเมื่อผู้หญ ิงมีประจำเดือน (คือ การที่เยื่อบุโพรงมดลูกลอกตัวออกมา) ถุงน้ำดังกล่าวก็จะมีเลือดออกในถุงด้วย ดังนั้น ในแต่ละเดือนที่ผ่านไปถุงน้ำก็จะมีเลือดออกเพิ่มขึ้นๆ นั่นหมายถึง ถุงน้ำก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และการที่ถุงน้ำนี้จะใหญ่เร็วมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนคนนั้นว่า จะดูดน้ำกลับได้เร็วเท่าไหร่ ถ้าร่างกายดูดน้ำกลับได้เร็วถุงน้ำนั้นก็จะโตขึ้นแบบช้าๆ

ทำไมหญิงยุคใหม่เป็นโรคนี้กันมากขึ้น ?
คุณหมอสมชาย ให้คำอธิบายเกี่ยวกับข้อสงสัยนี้ว่า "ถ้าดูในเรื่องงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง เยื่อบุโพรงมดลูกเติบโตผิดที่พบว่า ถ้านำผู้หญิง 100 คนมาทำการส่องกล้องเข้าไปดูในขณะที่มีประจำเดือน ผู้หญิงเกือบทั้ง 100 คน จะมีภาวะลือดระดูไหลย้อนกลับเข้าไปในช่องท้องทุกคน"

แล้วทำไมบางคนเกิดอาการเป็นถุงน้ำซึ่งทำให้ เกิดความเจ็บปวดมากมาย แต่บางคนไม่เป็น ?
คำตอบคือ คนไข้กลุ่มที่เป็นถุงน้ำมักจะมีปัญหาในเรื่องภูมิคุ้มกันบางอย่างบกพร่องซึ่งไม่สามารถจะทำลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่เติบโตผิดที่นี้ได้ ในขณะที่ผู้หญิงปกติทั่วไปจะมีภูมิคุ้มกันซึ่งสามารถทำลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญเติบโตผิดที่ได้ "ส่วนที่ดูเหมือนกับว่าผู้หญิงในปัจจุบันเป็นโรคนี้กันมาก ก็เพราะความเจริญก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยี


ที่คุณหมอบอกว่า "จริงๆ แล้วก็ไม่มีความแตกต่างกันมากกับอดีตที่ผ่านมา เพียงแต่ความเข้าใจของแพทย์เองต่อโรคนี้จะมีมากขึ้นซึ่งจะทำให้สามารถตรวจวินิจ ฉัยโรคได้เร็วขึ้น ก็เลยดูเหมือนกับว่ามีคนเป็นโรคนี้กันเยอะ รวมทั้งข่าวสารที่มีการแพร่หลายในวงกว้าง จึงทำให้มีการฉุกใจขึ้นมาว่า เอ๊ะ! เราเป็นโรคนี้หรือเปล่า แล้วก็ไปตรวจซึ่งบางคนก็พบว่าเป็นโรคนี้จริง ตรงนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าโรคดังกล่าวเป็นกันมาก"

อาการที่น่าสงสัยว่า จะเป็นถุงน้ำช็อกโกแลตเกี่ยวกับเรื่องเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ (หรือถุงน้ำช็อกโกแลต) สิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรทราบก็คือ เมื่อมีประจำเดือนเยื่อบุโพรงมดลูกนี้ก็จะมีเลือดออกด้วย และการที่มีเลือดออกในช่องท้อง ก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องท้อง ซึ่งการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องท้องนี้เองเป็นตัวที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด เพราะฉะนั้นจะสังเกตได้ว่า ผู้หญิงที่เป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ จะมีอาการปวดท้องมากเวลาที่มีประจำเดือน

แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าอาการปวดท้องเวลาที่มีประจำเดือนนั้นเป็นอาการปวดปกติธรรมดา (ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เป็น) หรือเป็นอาการปวดท้องที่เกิดจากภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ ?
เรื่องนี้คุณหมอสมชายให้รายละเอียดว่า"การที่จะแยกว่าอาการปวดท้องเมื่อมีประจำเดือนจะเป็นอาการที่บ่งบอกว่าสิ่งแรกท ี่ต้องคำนึงถึงคือ เรื่องอายุ นั่นคือถ้าอายุยังไม่มาก แล้วปวดท้องเวลาที่มีประจำเดือน ส่วนใหญ่จะเป็นอาการปวดท้องธรรมดา แต่กรณีที่ไม่เคยปวดประจำเดือนมาก่อน พออายุ 30 ปีขึ้นไปอยู่ๆ ก็มีอาการปวดประจำเดือนขึ้นมา และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเดือนที่ผ่านไป อาการดังกล่าวค่อนข้างบ่งชี้ว่าน่าจะเป็น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่"

ถุงน้ำช็อกโกแลตเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ ?
ผู้หญิงหลายคนที่เป็นโรคถุงน้ำช็อกโกแลตได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดเอาถุงน้ำออกและหลายๆกรณีแพทย์บางคนผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ออกไปด้วยในคราวเดียวกันด้วย



Powered by ScribeFire.

ใช้น้ำผึ้งเพื่อความงาม

เคยได้ยินกันมานานแล้วหละค่ะว่าน้ำผึง ช่วยบำรุงความงามให้กับสาว ๆ รักสวยได้ บางคนก็เคยได้รับคำแนะนำให้เอาน้ำผึ้งมาล้างหน้า มาพอกหน้า และอีกมากมาย

ก็ในน้ำผึงน่ะ เข้าวิจัยกันมาแล้วว่า มันมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ช่วยชลอการเสื่อมสภาพของเซลได้ แต่จริง ๆ แล้ว การนำน้ำผึ้งมาใช้ ก็ต้องมีสูตรเหมือนกันนะคะ ทั้งสำหรับใบหน้า ผิวกายและเส้นผมเลยทีเดียวค่ะ จะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลย

น้ำผึ้งสำหรับผิวหน้า

Moisture Mask สูตร 1 ให้ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กับนมสด 2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน นำมาทาทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เหมาะสำหรับคนผิวแห้งค่ะ

Moisture Mask สูตร 2 บดกล้วยหอม และน้ำผึ้งเข้าด้วยกัน นำมาพอกทั้งหน้า และผม ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า และมำให้ผมนิ่มสลวย มีชีวิตชีวามากขึ้น

Facial mask นำแอปเปิลปอกเปลือก ปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำมาทาทั่วผิวหน้า แล้วนวดเบา ๆ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น จะช่วยขจัดเซลเก่า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวหน้าเปล่งปลั่งสดใส

Honey Cleaning Scrub ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กับจมูกข้าวสาลี 2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน นำมาทาให้ทั่วผิวหน้าแล้วนวดเบา ๆ ช่วยขจัดเซลผิวเก่า และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เหมาะกับผิวที่มีริ้วรอย และจุดค่างดำ

น้ำผึ้งสำหรับผิวกาย

Smoothing Skin Lotion ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมันพืช 1 ช้อนชาและน้ำมะนาวอีก ? ช้อนชา นำมาขัดเบา ๆ ที่ข้อศอก มือ หัวเขา และส้นเท้า ซึ่งเป็นส่วนที่แห้งกร้านได้ง่าย จะช่วยให้ผิวนุ่มนวลและสดใสขึ้น

น้ำผึ้งสำหรับผม

Hair Conditioner ผสมน้ำผึ้ง 2 ถ้วย กับน้ำมันมะกอก ? ถ้วย แต่ถ้าเป็นผมธรรมดาให้ใช้น้ำมันมะกอกเพียง 2 ช้อนโต๊ะ นำมานวดให้ทั่วศีรษะ แล้วคลุมด้วยหมวกอาบน้ำ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วสระผมตามปกติ จะทำให้ผมมีน้ำหนัก นุ่มสลวย

Hair Shine ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ในน้ำอุ่น 4 ถ้วย แล้วนำมาชโลมผมให้ทั่วหลังสระเสร็จใหม่ ๆ จะช่วยล้างมลพิษที่เกาะจับผม และทำให้เส้นผมมีประกายเงางาม

ก็นี่หละค่ะ ประโยชน์ของน้ำผึ้ง และถ้าใครกระหายคอแห้ง ก็อาจจะนำไปผสมน้ำมะนาวดื่ม ก็สดชื่นดีนะคะ

ข้อมูลจาก สำนักข่าวไทยอ.ส.ม.ท.

Powered by ScribeFire.

แพ้ยา มีอาการอย่างไรและอันตรายแค่ไหน?

เรื่อง "การแพ้ยา" เป็นอีกคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะการแพ้ยาเป็นอันตรายอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้ยา จึงได้รับความสนใจและเป็นคำถามประจำที่ผู้สั่งจ่ายยาไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกร มักจะถามคุณอยู่เสมอ ทั้งที่โรงพยาบาลในตอนทำประวัติผู้ป่วยใหม่ หรือในขั้นตอนการรักษาของแพทย์ หรือในขั้นตอนการจ่ายยาของเภสัชกรที่ห้องยา

การแพ้ยาเป็นอาการอันไม่พึงประสงค์อย่างหนึ่งของการใช้ยาสมดั่งคำขวัญที่ว่า "ยามีคุณอนันต์ มีโทษมหันต์" ดังนั้นถ้าไม่มีข้อบ่งใช้หรือไม่มีความจำเป็นจึงไม่ควรใช้ยา เพราะอาจเกิดการแพ้และเกิดผลข้างเคียงชนิดอื่นๆ ได้

ใครบ้างที่จะมีโอกาสแพ้ยา?
ในผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่เคยมีประวัติการแพ้ยา จะไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า ตนเองจะเกิดการแพ้ยาหรือไม่ และเกิดขึ้นเมื่อใดเพราะในรายที่ไม่เคยแพ้ยา แม้ว่าผู้นั้นจะเคยใช้ยาชนิดนั้นแล้วไม่ค่อยเกิดอาการแพ้ยาก็ตาม แต่เมื่อมีการใช้ยานั้นในครั้งต่อไป ก็อาจเกิดการแพ้ขึ้นได้โดยคาดเดาไม่ได้
แค่ในผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยามาแล้ว เมื่อใช้ยาที่เคยแพ้อีก อาการแพ้ยาจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น มากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนบางรายอาจช็อคและเสียชีวิตได้

ยาอะไรที่ทำให้เกิดการแพ้ยาได้?
ยาที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการแพ้ยาได้บ่อย ได้แก่ ยากลุ่มเพนนิซิลลิน (penicillins) ยากลุ่มซัลฟา (sulfonamides) และยาแก้ปวดลดไข้ (NSAIDs) เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามยาทุกชนิดก็มีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้ได้ แม้แต่ยาที่ปลอดภัยมากๆ เช่น ยาพาราเซตามอล ก็มีรายงานว่ามีผู้ป่วยแพ้ยาชนิดนี้ได้เช่นกัน

เมื่อเกิดการแพ้ยาแล้ว จะมีอาการอย่างไร?
อาการแพ้ยามีตังแต่ระดับน้อยๆ อาจเป็นแค่ผื่นคัน ลมพิษ ผื่นแดง หรือในบางรายอาจมีอาการริมฝีปากบวม หน้าตาบวม หนังตามบวม พุพอง ผิวหนังเปื่อยลอก แต่ถ้าแพ้ยารุนแรงมากขึ้นอาจทำให้ใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน เป็นลม ความดันโลหิตต่ำ ชีพจรเต้นเบาและเร็ว หยุดหายใจ ช็อค และตายได้
การแพ้ยาฉีดมักมีอาการรุนแรงมากกว่ายาชนิดรับประทาน และส่วนใหญ่ของผู้ที่แพ้ยามักมีอาการไม่รุนแรง และหายเองได้เมื่อหยุดยา

เมื่อสงสัยว่าแพ้ยาควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
ดังนั้นในรายที่สงสัยว่าอาจเกิดการแพ้ยาขึ้น จึงควรหยุดยาและรีบไปหาแพทย์หรือกลับมาพบผู้สั่งจ่ายยาทันที เพื่อรักษาอาการแพ้ยาที่เกิดขึ้น อย่าลืมสอบถามผู้สั่งจ่ายยาถึงชื่อยาที่ตนเองแพ้อยู่นั้นเป็นยาชนิดใด เมื่อทราบแล้วควรจดจำและบันทึกไว้ และแจ้งแก่ผู้สั่งจ่ายยาทุกครั้งที่มีการจ่ายยา เพื่อเป็นการเตือนทั้งผู้สั่งจ่ายและตนเอง ให้ป้องกันการแพ้ยาที่จะรุนแรงมากขึ้น หากได้รับยาที่ตนแพ้นั้นอีก

การรณรงค์จัดทำ "บัตรแพ้ยา"
ในร้านยาของเภสัชกรชุมชนได้มีการรณรงค์จัดทำ "บัตรแพ้ยา" ให้แก่ทุกคนที่มาใช้บริการ คุณสามารถแจ้งกับเภสัชกรได้เลยว่า คุณแพ้ยาอะไร เภสัชกรจะจัดทำบัตรแพ้ยามอบให้คุณฟรี


สุดท้ายนี้ผมขอเสนอความคิดเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ยาว่าคุณควรจัดทำสร้อยข้อมือ แหวน หรือสร้อยคอที่ระบุว่าคุณแพ้ยาชนิดใด เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยแสดงข้อมูลการแพ้ยาเหล่านี้แทนตัวคุณ การช่วยหลือคุณในยามฉุกเฉินจะได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยกับตัวคุณมากที่สุดครับ

ที่มา นิตยสาร HealthToday

Powered by ScribeFire.

ยิ่งนอนดึกยิ่งเร่งวันตาย

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก คือ ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า และระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร

ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่าง ๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า

แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อ! อาหารเหนียว ๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ ! ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ
  1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง

  2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า
กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่ง ๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อน ๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง

เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซอง ๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมาก ๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ

ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่

แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซียมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซียมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซียมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซียมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง

สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง

การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะแล ะเหงื่อ เราทานเกลือมาก ๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซียมมากทำให้กระดูกงอก

ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดง ๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืด ๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย

แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อย ๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด

ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น

เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก

ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้

แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวาน ๆ ตอนอยู่ดึก ๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า

การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรง ๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลาย ๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมาก ๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้าเราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย


ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Powered by ScribeFire.

9 ขั้นสู่สวรรค์ชั้นเจ็ด

9 ขั้นสู่สวรรค์ชั้นเจ็ด

  1. เปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ เลิกคิดซะทีไอ้เรื่องไม่กล้าเปิดเผยความต้องการของตัวเอง กลัวถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี ฝักใฝ่แต่เรื่องอย่างว่า เลยทำให้รู้สึกประดักประเดิดอึกอักที่จะสัมผัสตัวเอง หรือบอกให้ฝ่ายชายสัมผัสเรือนร่าง ก็เลยไม่รู้จุดเสียวของตัวเองว่าอยู่ตรงไหน

  2. เรียนรู้เรื่องของจุดสุดยอด จุดสุดยอดของผู้หญิงไม่ได้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ตามปกติผู้หญิงทุกคนถึงจุดสุดยอดด้วยตนเอง ดังนั้นถ้าใครรอให้ฝ่ายชายเป็นคนพาขึ้นสวรรค์เป็นครั้งแรก ย่อมถือว่าเป็นการรอคอยอันยาวนานทุกข์ทรมาน แทนที่จะทำอย่างนั้น สู้หาหนังสือให้ความรู้เรื่องเซ็กซ์ดีๆสักเล่มมาศึกษาจะเวิร์กกว่า

  3. รับผิดชอบความสุขของตัวเอง หากกำลังคิดว่าเขาควรเป็นคนรับผิดชอบมอบจุดสุดยอดให้เรา ผิดถนัดแล้วละ ไม่มีใครให้เราได้นอกจากตัวเราเอง ทำได้โดยการไกด์และบอกเขาว่าควรทำอย่างไร ไม่เหมือนการทำอาหารที่ปล่อยให้เขาเข้าครัว ส่วนเรานั่งกระดิกเท้ารอสวาปามอย่างเดียว จุดสุดยอดเกิดขึ้นได้เมื่อทั้งสองฝ่ายรู้ว่าต้องการอะไรและรู้วิธีให้ได้มา

  4. ฝึกมาสเตอร์เบท ไม่ว่าใช้นิ้วหรือไวเบรเตอร์ก็เวิร์กพอกัน สิ่งที่ใช้แทนไวเบรเตอร์ได้ คือ เครื่องนวดที่ขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่ามัวใช้ไวเบรเตอร์จนเพลิน ลองผึกใช้นิ้วดูบ้าง เพราะเราคงไม่ใช้ไวเบรเตอร์กับคู่ขาทุกครั้ง ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ด้วยการใช้นิ้วควบคู่ไปด้วย

  5. บอกคู่ขา เมื่อจบหลักสูตรมาสเตอร์เบทเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาบอกเขาว่าควรทำอย่างไร เปิดอกคุยกันไปเลย เขาจะได้รู้ว่าทำให้เรามีความสุข เลิกงมโข่งก้มหน้าก้มตาทำแบบไร้ทิศทางต่อไป

  6. เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับตัวเอง มีผู้หญิงจำนวนมากที่ไม่ถึงจุดสุดยอดเพราะคิดว่าฝ่ายชายไม่ชอบรูปร่างของพวกเธอ ความจริงที่น่าปลาบปลื้มคือ ผู้ชายเกิดอารมณ์ได้ด้วยร่างเปลือยของผู้หญิง ไม่สำคัญว่าหุ่นเป็นยังไงถ้ายังทำใจกับรูปร่างตัวเองไม่ได้ ก็ลองไปออกกำลังกาย หาทางปรุงโฉม เสริมความมั่นใจ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น

  7. อย่าพยายามมากเกินไป อย่าตั้งอกตั้งใจมากเกินไป ไม่ต้องจดจ่อว่า โอ..พระเจ้า ขอให้ฉันถึงจุดสุดยอดสักทีเถอะ ยิ่งทำอย่างนั้นจะยิ่งเครียด ยิ่งเกร็งเลยพานไม่ถึงจุดสุดยอดซะเลย ปล่อยตัวตามสบาย รีแล็กซ์ เอนจอยไปเรื่อยๆแล้วจะดีเอง

  8. ใช้เวลาหาความสุขกับตัวเอง บางคนเคร่งเครียดกับการฝึกทำมาสเตอร์เบทมากเกินไป ทำให้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ลองหาเวลาว่างจริงๆพ้นจากเรื่องงานและภาระทางบ้าน หลีกลี้ไปพักผ่อนคนเดียว(พร้อมคู่ใจไวเบรเตอร์) แล้วลองประเดิมแบบสบายๆรับรองว่าความสุขจะหลั่งไหลถาโถมจนรับไม่ทัน

  9. ทบทวนความสัมพันธ์ ท้ายสุดหากลองวิธีใดๆ สารพัดก็ยังไม่ได้ผลหุ่นอัปลักษณ์ หรือจิกกัดว่าเราทำอะไรไม่เป็น มิน่าถึงไม่ออกัสซั่มเสียที เรียกว่าพูดอะไรแต่ละอย่างมีแต่บั่นทอนจิตใจ ขอแนะนำให้กำจัดเนื้อร้ายออกไปจากชีวิตทันที นี่คือวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายสุดๆ

ที่มา นิตยสาร women plus

Powered by ScribeFire.

Friday, December 14, 2007

เรื่องsex ที่ผู้หญิงอยากถาม

เรื่องsex ที่ผู้หญิงอยากถาม

เพราะเซ็กซ์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เซ็กซ์กับชีวิตของคนเราแยกจากกันได้ยาก แต่เซ็กซ์นั้นอาจจะจำเป็นต้องมีหรือไม่มีก็ได้ ใคร ๆ เขาก็บอกเล่ามาตั้งแต่โบราณแล้วว่า อดข้าวอาจจะไม่ถึงวางวาย แต่ชีวิตอาจจะมอดมลายเพราะไม่รู้เรื่อง เซ็กซ์

เซ็กซ์จึงเป็นทั้งธรรมะและอธรรม แล้วแต่ว่าจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับเซ็กซ์ในแบบใด เซ็กซ์อาจจะเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจ หรือเป็นศัตรูร้ายที่จ้องทำลายคุณภาพชีวิตก็ได้

มารู้จักเรื่อง เซ็กซ์ ที่ผู้หญิงอยากถามกันดีไหม

เขาว่าการมีเซ็กซ์ที่สุขสมทำให้ชีวิตยืนยาวจริงหรือ?

จริงน่ะ จริงอยู่ แต่ไม่ทั้งหมดและไม่เสมอไป เพราะที่เขาว่านั้นยังไม่ครบถ้วนกระบวนความ ที่จริงแล้วคำพูดดังกล่าวนั้นมีอยู่ว่า… "การมีเซ็กซ์ที่สุขสมกับคนที่รักทำให้ชีวิตยืนยาวและเป็นสุขและเป็นหนุ่มเป็นสาว"

ซึ่งอธิบายได้ว่า การมีเซ็กซ์ที่สุขสมแท้จริงแล้วเกิดจากการมีเซ็กซ์กับคนที่รักมากกว่าการมีเซ็กซ์เฉยๆ กับใครก็ได้ การศึกษาวิจัยพบว่า เมื่อมีเซ็กซ์กับคนรักแล้วผู้หญิงจะเกิดความสุขและหลั่งสารแห่งความสุขออกมา ในขณะที่การร่วมรักกับใครสักคนโดยที่ไม่ได้มีความรักมาเกี่ยวข้องอย่างมากก็แค่การระบายอารมณ์พิศวาสออกมาเท่านั้น ความสุขสมจึงแตกต่างกันมาก และเมื่อเกิดความสุขสมแล้วสารแห่งความสุขที่หลั่งออกมาจะทำให้เกิดการผ่อนคลาย หายเครียด นอนหลับฝันดี ผลที่ตามมาก็คือระบบต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายและระบบฮอร์โมนเพศจะทำงานอย่างเต็มที่ ทำให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี เป็นหนุ่มเป็นสาวถึงอย่างนั้นผู้หญิงหลายคนก็ยังลำบากใจที่จะมีเซ็กซ์ที่สุขสมกับคนที่เธอรักและรักเธอ!

และหลายต่อหลายคนยังคงสงสัยต่อไปและอยากถามว่า…ถ้าเป็นสาวโสดหรือเลิกรากับชายคนรักแล้วเล่า จะทำอย่างไรเพราะไม่มีคนรักที่จะมีเซ็กซ์ด้วย

ลืมไปหรือว่า…มีคนๆ หนึ่งที่ทุกคนควรจะให้ความรักมากที่สุด คนๆ นั้นก็คือ…ตัวเองนั่นแหละ ลองคิดดูให้ดีๆ ซิว่าทุกวันนี้เคยให้ความรักตัวเองกันบ้างไหม วันๆ มัวแต่ให้ความรักคนอื่นจนลืมรักตัวเองไป การหัดรักตัวเองนั้นไม่ใช่เป็นการเห็นแก่ตัว แต่เป็นการเริ่มมีความรักที่ถูกต้องด้วยการให้ความรักตัวเองก่อน เมื่ออิ่มเอมกับความรักนั้นแล้วมีความรักเหลือเฟือที่จะมอบให้คนอื่นโดยไม่ต้องหวังอะไรตอบแทน แบบนี้ก็ไม่มีวันที่จะเป็นคนขาดรัก ไม่ว่าจะอยู่เป็นสาวโสดหรือจำเป็นต้องกลับมาเป็นโสดใหม่เพราะเลิกราจากคู่ไป

นอกจากนั้นควรจะรักและทำรักให้ตัวเอง การทำรักให้ตัวเองนั้นทั้งปลอดภัย และสุขสมโดยไม่ได้ผิดกฎกติกามารยาทของการดำรงชีวิตในสังคมแต่อย่างใด และเชื่อไหมว่าผู้หญิงนั้นสามารถที่จะทำรักที่สุขสมให้ตัวเองได้ง่ายกว่าการร่วมรักมากทีเดียว

เขียนให้อ่านแบบนี้ไม่ใช่บอกว่า…การมีเซ็กซ์กับใครสักคนหนึ่งนั้นดีสู้ไม่ได้ แต่เป็นการดีและมีความสุขกันคนละแบบเท่านั้น และถ้าอยากจะมีความสุขทั้งสองแบบ…ก็คงจะไม่มีใครว่า!

เขาทำการร่วมรักบ่อยๆ จะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากต่อมากใช่ไหม?

มีเรื่องราวที่ขู่กันบ้างหลอกลวงกันบ้างและเป็นข่าวกลั่นแกล้งกันบ้าง เกี่ยวกับความถี่ของการมีเซ็กซ์ว่าอาจจะทำให้เกิดปัญหาโน้นปัญหานี้ เช่น มีเซ็กซ์บ่อยๆ จะทำให้เครื่องเคราหลวม มีเซ็กซ์บ่อยๆ จะทำให้มีบุตรยาก มีเซ็กซ์บ่อยๆ จะทำให้กลายเป็นโรคกามตายด้าน มีเซ็กซ์บ่อยๆ จะทำให้เป็นโรคฮิสทีเรีย มีเซ็กซ์บ่อยๆ จะทำให้เป็นมะเร็งมดลูก ฯลฯ

ตอบได้เลยว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ขอแต่ให้รักษาสุขภาพให้ดีเท่านั้นเอง เพราะถ้ามีเซ็กซ์บ่อยๆ แต่สุขสมทุกครั้งแล้วดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แล้วละก็ อยากจะมีบ่อยแค่ไหนก็ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไร
  • เครื่องเคราไม่มีทางหลวม ถ้ารู้จักการออกกายบริหารกล้ามเนื้อช่องคลอดด้วยการขมิบก้นเป็นประจำสม่ำเสมอ จำไว้ว่า …ควรขมิบก้นนานครั้งละ 10 วินาที ให้ได้วันละ 50 – 100 ครั้ง
  • การมีเซ็กซ์บ่อยๆ ไม่ได้เป็นสาเหตุของการทำให้มีบุตรยากเลย แต่ควรจะพยายามมีเซ็กซ์ที่สุขสม และหลังจากการร่วมรักแล้วควรจะนอนชันขาขึ้นสัก 30 นาที เพื่อให้น้ำอสุจิละลายเรียบร้อยและตัวอสุจิจะสามารถแหวกว่ายผ่านปากมดลูกเข้าไปภายในโพรงมดลูกได้อย่างดี
  • แน่นอนว่าการร่วมรักกันเป็นประจำสม่ำเสมอนั้นไม่ได้ทำให้เป็นโรคบ้าเซ็กซ์หรือโรคกามตายด้านแต่อย่างใด เป็นเพียงแต่การพูดจาขู่กันเท่านั้นเอง เพียงแต่ต้องมีเซ็กซ์เพราะใจตรงกัน ไม่ใช่มีเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการแล้วบังคับใจให้อีกฝ่ายต้องยินยอมตามใจ หรือมีเซ็กซ์กันเหมือนเป็นการทำการบ้านโดยไม่ได้มีอารมณ์พิศวาสที่บรรเจิด การมีความสุขสมจากการมีเซ็กซ์ร่วมกันนั้นบ่อยเท่าใดก็ไม่เป็นปัญหา
  • และการมีเซ็กซ์เป็นประจำสม่ำเสมอกับคู่เพียงคนเดียว ไม่ว่าจะบ่อยขนาดไหนถ้าทั้งสองฝ่ายรักษาความสะอาดและไม่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แล้ว ก็ไม่ได้มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูกมากเท่าการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมากหน้าหลายตา ให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งในเวลาร่วมรัก จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ไม่มากก็น้อย หรืออย่างน้อยถ้าฝ่ายชายไม่ได้ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะของเขา ก็จัดการให้เขาชำระล้างทำความสะอาดเอาคราบไคลที่หมักหมมใต้หนังหุ้มปลายออกไปเท่านี้ โอกาสการเป็นมะเร็งปากมดลูกก็ลดลงไปอีกแล้ว
อย่างไรก็ตามอยากจะฝากข้อคิดไว้เพียงว่า…คุณภาพย่อมสำคัญกว่าปริมาณเสมอ แต่ถ้ามีทั้งปริมาณและคุณภาพร่วมกันแล้วก็คงจะต้องบอกว่าอิจฉาจริง ๆ

เขาว่าการมีเซ็กซ์บ่อยๆ ทำให้ได้ลูกสาวนะ

มีทฤษฎีที่เชื่อกันมานานแล้วว่า ตัวอสุจิ X ที่ทำให้ได้บุตรสาวนั้นจะทนกรด และมีอายุยืนยาวกว่าตัวอสุจิ Y ที่ทำให้ได้บุตรชาย จึงมีการเสนอทฤษฎีของการมีเซ็กซ์เพื่อเพิ่มโอกาสในการจะได้บุตรตามเพศที่ต้องการ กล่าวคือ ถ้าอยากได้ลูกชายต้องดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ไว้ตั้งแต่ประจำเดือนหมด และรอวันมีเซ็กซ์ได้เพียงวันเดียวคือวันที่มีการตกไข่ เพราะในวันนั้นปากมดลูกจะเป็นด่าง และตัวอสุจิเพศชายที่ว่ายเร็วกว่าจะสามารถว่ายเข้าไปผสมกับไข่ได้ทันที ส่วนถ้าอยากจะได้ลูกสาวแล้วก็ให้มีเพศสัมพันธ์ทุกวันตั้งแต่วันประจำเดือนหมดไปจนถึงวันตกไข่แล้วหยุดการมีเซ็กซ์ ด้วยเทคนิคนี้ตัวอสุจิที่อดทน และอายุยืนที่รออยู่ก็จะเป็นตัวอสุจิเพศหญิง

เพราะฉะนั้นทฤษฎีของการมีเซ็กซ์บ่อยๆ ก็อาจจะได้ประโยชน์ในกรณีที่อยากได้บุตรสาว และเป็นข่าวลือมานานแล้ว ขอบอกว่าเป็นข่าวลือที่มีโอกาสเป็นจริงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์นะ อย่างมากก็ไม่เกิน 80 เปอร์เซ็นต์ แต่ลองดูก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร…นอกจากเสียเรี่ยวแรงไปบ้างเพียงเล็กน้อย และยังอาจจะมีความสุขสมแถมด้วยก็ได้ใครจะรู้

เขาว่าการมีเซ็กซ์ครั้งแรกจะต้องมีเลือดออกและเจ็บมาก

เป็นคำถามคาใจของสาวๆ ทุกวันที่จะมีเรื่องอย่างว่าประสารัก เพราะมักจะโดนขู่ทั้งจากผู้มีประสบการณ์แล้วหรือจากผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลาย ที่แทนที่จะให้กำลังใจและชี้แนะวิธีการที่ถูกที่ควรกลับกลายเป็นว่าใช้คำขู่ด้วยความหวังดีแต่กลายเป็นความหวังดีที่ประสงค์ร้าย…โดยไม่ได้ตั้งใจ

เดี๋ยวนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไป การออกกายบริหาร การออกกำลังกายของเด็กๆ และสาววัยรุ่นสมัยนี้นั้นแทบจะทำให้เยื่อพรหมจารีที่เป็นเยื่อบางๆ ปิดปากช่องคลอดอยู่นั้น ขาดไปเกือบหมดแล้ว อย่างมากก็เหลือขอบของเยื่อพรหมจารีไว้ดูต่างหน้าเท่านั้น โอกาสที่จะมีเลือดออก เพราะการมีเซ็กซ์ครั้งแรกนั้นมีน้อย อย่างมาก็มีออกนิดหน่อย เวลาขอบเยื่อพรหมจารีขาดไปจากการเสียดสีของการร่วมรักและความเจ็บปวดจากการมีเซ็กซ์ครั้งแรกก็หลีกเลี่ยงได้!!

ต้องมีความรู้ก่อนว่าช่องคลอดของผู้หญิงนั้น ถ้าแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กัน ส่วนแรกหรือส่วนที่ติดกับปากประตูทางเข้าส่วนสงวนจะห่อหุ้มด้วยกล้ามเนื้อโดยรอบ กล้ามเนื้อดังกล่าวนี้ควบคุมโดยจิตใจ ดังนั้นถ้าคุณผู้หญิงไม่กลัวจนเกร็งแล้ว กล้ามเนื้อดังกล่าวก็จะไม่หดรัดตัวให้เกิดการเจ็บปวด เวลาที่ส่วนนั้นของเขาผ่านเข้าไปภายในส่วนสงวน และยิ่งถ้ารู้จักการเบ่งออกมาเบาๆ จะกลายเป็นว่าทำให้กล้ามเนื้อรอบปากช่องคลอดคลายตัวออก ทำให้การผ่านเข้าไปสัมผัสรักของเขาทำได้สะดวกและราบรื่นขึ้น แล้วจะเจ็บปวดหรือมีเลือดออกได้อย่างไร!!

อยากถามจริงๆ ว่าการคุมกำเนิดนั้นทำไมผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายคุมเสมอๆ

นั่นเป็นปัญหาที่ผู้หญิงอยากถามผู้ชายของเธอ…แต่ไม่กล้าถาม เพราะเกรงใจเขาบ้าง กลัวว่าเขาจะไม่พอใจบ้าง และอะไรต่อมิอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นเพราะผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมเป็นคนคุมกำเนิด และผลักภาระนี้ไปให้ผู้หญิงของเขาแทนที่จะรับผิดชอบร่วมกัน…
ความจริงแล้ว การคุมกำเนิดโดยใช้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัยจะสะอาด และปลอดภัย แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าการคุมกำเนิดโดยวิธีอื่นๆ ก็ตาม

แต่ถ้าเขาไม่ยอมแล้ว…ควรจะคุมกำเนิดโดยยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดเม็ดรวมที่มีปริมาณไขมันฮอร์โมนต่ำ ทำให้อาการข้างเคียงต่างๆ ลดลง และสามารถจะใช้ได้นานด้วยความปลอดภัย เพราะถ้าผู้หญิงไม่ยอมคุมแล้วก็จะเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นในขณะที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร หรือไม่ก็มีบุตรติดต่อกันจนร่างกายทรุดโทรม!!

ทั้งหมดนั้นน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องอย่างว่า…ที่ผู้หญิงอยากถาม

ที่มา ผู้หญิงวันนี้

Powered by ScribeFire.

โรคร้ายของลูกน้อยที่เรียกว่า ไอ พี ดี (I.P.D.)

โรคร้ายของลูกน้อยที่เรียกว่า ไอ พี ดี


โรคร้ายของลูกน้อยที่เรียกว่า ไอ พี ดี

ในปัจจุบันเทคโนโลยีด้านการแพทย์และสาธารณสุขได้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังมีอีกหลายโรคที่ยังเป็นปัญหา โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพของลูกน้อย อย่างโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส ซึ่งเป็น หนึ่งในสาเหตุที่นำไปสู่ความพิการและการเสียชีวิตของเด็กทารกทั่วโลก จากสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าโรค ไอ พี ดี หรือ โรคติดเชื้อ นิวโมคอคคัส ทำให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ ในทั่วโลกเสียชีวิตจากการติดเชื้อนี้มากกว่า 1 ล้านคนต่อปี แม้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็มีอุบัติการณ์โรคนี้เช่นกัน

โรค ไอ พี ดี โรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อนิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นโรคที่องค์การอนามัยโลก และหน่วยงานเกี่ยวกับวัคซีนต่างๆ* รณรงค์ให้นานาประเทศหันมาตระหนักในการป้องกันรับรองว่า สามารถป้องกันได้ โดยการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับเด็กทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศโลกที่ 3 จะสามารถช่วยชีวิตคนได้ถึง 5.4 ล้านคน ภายในปี 2030

นิวโมคอคคัส กับ ปอดบวม
โรค ไอ พี ดี ย่อมากจากคำว่า "Invasive Pneumococcal Disease" เกิดจากเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส เป็นเชื้อชนิดรุนแรงและอันตราย ซึ่งมักเกิดที่เยื่อหุ้มสมอง หรือในกระแสเลือด หรือที่ปอด ที่เราอาจเรียกว่า ปอดอักเสบชนิดรุนแรงหรือลุกลามจากเชื้อแบคทีเรีย นิวโมคอคคัส โดยเด็กสุขภาพดีที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี เป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดการติดเชื้อนี้ ซึ่งหากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที เด็กอาจเสียชีวิตใน 2-3 วันหรือมีอาการพิการได้

เชื้อนิวโมคอคคัสนั้นมักพบอยู่ในโพรงจมูก และลำคอของคนทั่วไป ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการใดๆ แต่สามารถเป็นพาหะนำเชื้อแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ โดยการไอหรือจามรดกัน โดยเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ นิวโมคอคคัส

ปัจจุบัน องค์การยูนิเซฟและองค์การอนามัยโลก ระบุว่า โรคปอดบวมคือมฤตยูร้ายที่ถูกลืม และแนะให้ทุกประเทศเฝ้าระวัง โดยข้อมูลทางการแพทย์และผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกายืนยันว่า การฉีดวัคซีน ไอ พี ดี สามารถลดอัตราการเข้ารับการรักษาโรคปอดบวมชนิดรุนแรงจากเชื้อ นิวโมคอคคัสในโรงพยาบาลได้ถึง 65% (ทั้งนี้วัคซีน ไอ พี ดี นั้นมีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ควรปรึกษากุมารแพทย์ถึงความคุ้มค่า รวมทั้งคำนึงถึงสุขภาพของลูกน้อย)


ไอ พี ดี ไม่ใช่เรื่องใหม่
แม้ในประเทศไทยจะยังไม่มีการเก็บข้อมูลอย่างจริงจัง แต่โรคติดเชื้อ ไอ พี ดี นี้ไม่ใช่โรคใหม่สำหรับคนไทย เพราะโรคติดเชื้อ ไอ พี ดี จะมีอาการเป็นไข้คล้ายกับโรคติดเชื้อทั่วไป คุณพ่อคุณแม่ของลูกน้อยส่วนใหญ่จึงมักคิดว่าเป็นไข้ธรรมดา และไม่ให้ความสำคัญในการตรวจวินิจฉัยโรค ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการติดเชื้อดังกล่าวในบางรายสามารถคร่าชีวิตลูกน้อยได้ภายใน 48 ชั่วโมง หรือ ภายใน 2 วันเลยทีเดียว....เพราะเราห่วงใยลูกน้อยคุณ ด้วยความปราถนาดีจากโรงพยาบาลเด็กสมิติเวชศรีนครินทร์

ที่มา โรงพยาบาลเด็กสมิติเวชศรีนครินทร์

Powered by ScribeFire.

ทานวิตามินเกินกำหนดก่อให้เกิดโทษ

การทานวิตามินนั้นมีประโยชน์ แต่ถ้าทานมากจนเกิดกำหนดก็ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายด้วยเช่นกัน วันนี้เกร็ดความรู้มีมาฝากกัน...

วิตามินโดยทั่วไป หากทานมากเกินไป ไม่มีอันตราย ร่างกายจะขับออกมา แต่มีวิตามินบางชนิด หากได้รับมากเกินไป จะต้องได้รับสารอื่นพ่วงด้วย เช่น วิตามิน C หากได้รับมากเกินไปก็จะมีแร่ทองแดงพ่วงมาด้วย

ตัวอย่าง

วิตามิน A หากได้มากกว่า 25000 IU จะทำให้ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผิวแห้ง คันและผมร่วง ตับม้ามจะโต ปวดกระดูก

วิตามิน D หากได้มากเกิน 50000 IU จะทำให้เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ท้องร่วง น้ำหนักลดและมีพิษต่อตับ

วิตามิน C โดยทั่วไปไม่มีพิษ แต่หากได้เกิน 1 กรัม จะทำให้เกิดคลื่นไส้ ท้องร่วง ตะคริวและเกิดนิ่วที่ไต

ธาตุเหล็ก หากได้รับขนาดสูง จะระคายกระเพาะและท้องผูก

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ควรทานวิตามินให้พอเหมาะ จะได้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง.

ที่มา เดลินิวส์

Powered by ScribeFire.

ภัยแกงถุงต้นตอเชื้ออหิวาตกโรค

ถ้าจะพูดถึงปัจจัย 4 ที่เป็นส่วนประกอบหลักที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพของมนุษย์นั้น ทุกๆ อย่างมีความสำคัญไม่น้อยกว่ากัน แต่ทุกวันนี้ทั้ง 4 อย่างคงไม่ใช่แค่ความพอเพียงเสียแล้ว เพราะมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเราไปแล้ว

อย่างแกงถุงสำเร็จรูปเป็นอาหารที่มีอิทธิพลมาก หนึ่งในสี่ของปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลไม่น้อยเหมือนกัน เพราะแทบทุกชุมชนหย่อมหญ้าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักแกงถุง จากเดิมเคยเห็นตามครัวเรือนต่างๆ ประกอบอาหารกินเอง แต่ทุกวันนี้วัฒนธรรมเหล่านั้นก็ได้ลดน้อยถอยลงจนแทบจะสูญสิ้น จนบางครั้งกลับอดคิดไม่ได้ว่าครัวไทยได้หายไปไหนแล้ว

จะว่าไปแล้วในยุคที่น้ำมันขึ้นราคา ค่าครองชีพสูงขึ้น ของใช้ต่างๆ ก็แพงขึ้น จะกินทิ้งกินขว้างเหมือนเมื่อก่อนก็คงไม่ได้ ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องดิ้นรนที่จะหารายเพิ่มจนไม่มีเวลาเข้าครัว เลยต้องหันมาพึ่งพาแกงถุงกันเยอะขึ้น จะอร่อยหรือไม่อร่อย จะสะอาดหรือไม่สะอาดก็ขอหาความสะดวกสบายไว้ก่อน

เห็นได้ว่าตอนนี้แกงถุงมีวางขายกันเกลื่อนกลาดกันตามท้องตลาด แหล่งชุมชนต่างๆ หรือแทบจะทุกมุมเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคำนึงถึงสุขภาพหรือภัยต่างๆ ที่จะมากับแกงถุง เพราะในแกงถุงอาจมีเชื้อวิบริโอ คอเรลลา ต้นเหตุของโรคอหิวาตกโรค

เชื้อวิบริโอ คอเรลลา เป็นแบคทีเรียที่พบได้ในของเสียจากการขับถ่ายของคนและสิ่งแวดล้อม มักจะปนเปื้อนอยู่ในอาหารและน้ำดื่มเมื่อร่างกายได้รับเชื้อชนิดนี้เข้าไปผ่านทางอาหาร และน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ จะทำให้เกิดอาการ คือถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ บางครั้งอาเจียน และบางรายหากมีอาการรุนแรงแล้วไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้ภายใน 2-3 ชั่วโมง

วิธีการป้องกันไม่ให้เชื้อตัวนี้เข้าสู่ร่างกายได้คือ ดื่มและใช้น้ำที่สะอาด ล้างมือทุกครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร และหลังจากเข้าส้วม ใช้ช้อนกลางทุกครั้งที่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น รับประทานอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ ห้ามรับประทานอาหารที่มีแมลงวันตอม หลีกเลี่ยงการกินอาหารสดระหว่างที่มีโรคระบาด และเก็บภาชนะที่ใส่อาหารให้มิดชิด ไม่ให้แมลงวันไปตอมได้ และทำลายขยะมูลฝอย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคและไม่ให้แมลงวันใช้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์

แต่อย่างไรก็ตามหากมีความจำเป็นต้องบริโภคแกงถุง ก็ควรที่จะเลือกร้านที่มีความสะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของตัวเอง

ที่มา สสส.

Powered by ScribeFire.

Thursday, December 13, 2007

หลับให้สบายช่วยต้านมะเร็งได้

บีบีซีนิวส์ - บีบีซีนิวส์ - นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันอ้างว่า การนอนให้เต็มอิ่มช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ เพราะการนอนจะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกายให้เป็นปกติ จึงลดโอกาสเป็นมะเร็งหรือชะลอการเติบโตของเนื้อร้ายได้ ศาสตราจารย์เดวิด สปีเกล จากศูนย์การแพทย์สแตนฟอร์ดยูนิวเวอร์ซิตีกล่าวว่า การนอนหลับนั้นช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมนในร่างกายได้

ทั้งนี้ระดับฮอร์โมนคอร์ติโซล ฮอร์โมนเมลาโตนิน และฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ไม่สมดุล อาจมีส่วนทำให้คนเป็นโรคมะเร็ง เขาศึกษาการวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการนอนหลับและมะเร็ง โดยการศึกษาหนึ่งชี้ว่าโดยปกติแล้วระดับฮอร์โมนคอร์ติโซล ซึ่งช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันร่างกายรวมทั้งเซลล์ที่ช่วยต้านมะเร็ง มีระดับสูงสุดในช่วงเช้ามืดและต่ำลงในช่วงกลางวัน ขณะที่การศึกษาอีกชิ้นเผยว่าผู้หญิงกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นมะเร็งทรวงอก และมีระดับฮอร์โมนดังกล่าวสูงสุดในช่วงกลางวัน เสียชีวิตจากโรคเร็วกว่าปกติ ทำให้เขาเชื่อว่าระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติเพราะปัญหาการนอนหลับ อาจทำให้คนเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมากขึ้น นอกจากนี้ศาสตราจารย์สปีเกล ยังศึกษาบทบาทของฮอร์โมนเมลาโตนิน อันเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตขึ้นระหว่างนอนหลับ และทำหน้าที่คล้ายสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถป้องกันความเสียหายของดีเอ็นเอซึ่งอาจนำไปสู่โรคมะเร็งได้ และช่วยชะลออัตราการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งกระตุ้นให้เนื้องอกที่หน้าอกหรือรังไข่โตขึ้นได้

การศึกษาชี้ว่าผู้หญิงที่ทำงานกะกลางคืน และมีร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโตนินในปริมาณต่ำ มีอัตราการป่วยโรคมะเร็งทรวงอกมากกว่าผู้หญิงที่นอนตามเวลาปกติมาก ส่วนการศึกษาในหนูก็แสดงให้เห็นว่า หนูที่ถูกขัดจังหวะในการนอนหลับมีอัตราการเติบโตของเนื้องอกเร็วกว่าหนูปกติหลายเท่า ศาสตราจารย์สปีเกล กล่าวสรุปในผลการศึกษาล่าสุดซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร เบรน,บีเฮฟวิเออร์,แอนด์อิมมูนิตี ว่า "แพทย์ไม่ควรต่อสู้กับมะเร็งเท่านั้น แต่ต้องช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีชีวิตอยู่กับมันไปได้ด้วย" "แม้ว่าการป่วยเป็นมะเร็งจะทำให้เราข่มตาไม่ลง แต่เราน่าจะช่วยให้คนหลับให้สบายได้อีกครั้ง และลืมเรื่องมะเร็งไปเสีย"

ที่มา ผู้จัดการ

Powered by ScribeFire.

อาหารบำรุง พลังเซ็กซ์

กล่าวกันว่า สิ่งที่มนุษย์แทบจะทุกคนที่เกิดมาอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ต้องการก็คือการมีชีวิตที่ยืนยาว การคงความเป็นหนุ่มสาว และการมีพลังทางเพศที่เหลือเฟือ เพื่อที่จะประกอบกิจกรรมตามที่ธรรมชาติ แห่งการเจริญพันธุ์แวดล้อม

'ยาอายุวัฒนะ' จึงเป็นสิ่งที่คนเราค้นหามาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์...... เช่นเดียวกับยาชะลอแก่ เพื่อการคงไว้ ซึ่งความเป็นหนุ่มสาว และแน่นอนว่า ยาบำรุงพลังเพศ รวมทั้งอาหารเสริมพลังเพศก็เป็นสิ่งที่ได้รับการแสวงหามาตลอดเวลาเช่นกัน

ถ้าจะบอกว่า ที่จริงแล้วยาทั้งสามอย่างนั้น เป็นยาขนานเอกตัวเดียวกัน... คือ 'ความรัก' ทุกคนก็จะไม่มีใครยอมเชื่อ ทั้งๆ ที่เป็นความจริงเพราะ

ความรัก ... เป็นสิ่งที่ผลักดันให้โลกใบนี้หมุนอยู่ได้
ความรัก ... เป็นพลังที่จะช่วยให้ดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นและสุขสม
ความรัก ... ทำให้มีกำลังใจในการทำงานต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้อย่างดี
ความรัก ... ก่อให้เกิดความสุขสมหวัง

เพราะเมื่อเกิดความรักขึ้นแล้ว ใจจะเป็นสุข หัวใจจะพองโต สมองจะแจ่มใส มีพลังอำนาจ พร้อมที่จะดำเนินการทุกอย่างด้วยความรักความรัก จึงเป็นพลังอย่างแท้จริง... รวมทั้งเป็นพลังทางเพศด้วย!!!

ผู้หญิงที่มีความรัก เมื่อคิดถึงคนที่รักในบรรยากาศที่โรแมนติกและเป็นใจจะก่อให้เกิดความต้องการทางเพศ ที่จะมีบทพิศวาสที่วาบหวามเร้าใจเป็นอย่างยิ่ง ผู้หญิงทั้งหลาย จึงมีความรักเป็นพลังขับดันทางเพศด้วยประการฉะนี้ ผู้หญิง จึงไม่ต้องการยาปลุกเซ็กซ์ หรืออาหารบำรุงพลังเพศอะไรเลย นอกจาก... ความรักจากคนที่เธอรัก

ถ้าผู้ชายทั้งหลายอยากจะให้ผู้หญิงของเขามีพลังทางเพศมากๆ และมีอารมณ์พิศวาสที่เร่าร้อนและรุนแรงแล้ว... จะต้องปลุกพลังเซ็กซ์ของเธอด้วย 'ความรัก' เพราะผู้หญิงที่มีความรักเติมเต็มเท่านั้น ที่อยากจะมีบทพิศวาสที่ซาบซึ้งกับผู้ชายของเธอ

เช่นเดียวกับผู้ชาย เมื่อคิดถึงผู้หญิงคนที่เขารักแล้ว จะเกิดปฏิกิริยากับบางส่วนในร่างกายของเขา ให้เกิดความพร้อมที่จะปฏิบัติการบางสิ่งบางอย่าง เพื่อที่จะได้หลั่งเอาน้ำที่กลั่นจากความรักของเขาออกไปให้เธอ แล้วเขาก็จะเกิดความสุขสมพร้อมกับมีความรักเพิ่มมากขึ้นในเธอคนนั้น... คนที่ทำให้เขามีความสุขมากขึ้นทันที

พลังทางเพศของผู้ชาย จึงผลักดันให้เขาร่วมรักและเกิดความรักเพิ่มพูนขึ้น? และเกิดการติดอกติดใจในความสุขสมที่เขามีร่วมกับเธอ จนก่อให้เกิดพลังทางเพศเพิ่มขึ้น พร้อมที่จะร่วมรักกับเธออย่างมีความสุขอีกหลายต่อหลายครั้ง นานตราบเท่านาน

ความรัก... จึงเป็นยาวิเศษของหนุ่มสาวที่จะทำให้เกิดพลังเซ็กซ์ที่ปรารถนา และความรัก... ยังคงเป็นยาวิเศษที่จะทำให้คู่ชีวิตทั้งหลายสามารถมีชีวิตอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข โดยไม่จำเป็นจะต้องร่วมรักกัน แค่กอดกันถ่ายทอดสัมผัสรักให้แก่กันผ่านทางสัมผัสทางผิวกาย ก็เป็นการเพียงพอแล้ว นั่นเป็นปรัชญาแห่งรัก และเซ็กซ์ขั้นสูงสุด... ...ซึ่งยากนักที่มนุษย์เดินดินธรรมดาจะเข้าใจ !!!

ยาบำรุงพลังเพศ ยาปลุกเซ็กซ์ และอะไรต่อมิอะไร จึงเกิดขึ้นเพื่อให้ไปถึงซึ่งการมีพลังทางเพศ ที่สมบูรณ์แบบพร้อมที่จะปฏิบัติการ...ลืมไป แม้กระทั่งคำกล่าวของปรมาจารย์ทางเพศหลายต่อหลายท่าน ในแต่ละยุคสมัยว่า แท้ที่จริงแล้ว ยาบำรุงพลังเพศนั้น อยู่ระหว่างหูสองข้างของคนเรานั่นเอง... และนั่นก็คือ 'สมอง' ยาบำรุงพลังเพศจะวิเศษปานใด ถ้าสมองไม่ยอมรับก็จะขาดความวิเศษพิสดารไปและไม่ได้ผล ต่างจากยาบางชนิดที่ไม่ใช่ยาวิเศษ หรืออาหารบำรุงพิเศษอะไรเลย เมื่อเกิดความเชื่อมั่นว่าได้ผลก็จะได้ผลจนถึงขั้นมีคำกล่าวว่า... แค่คิดว่าจะได้ผลก็ได้ผลไปแล้วครึ่งหนึ่ง!!!

เช่นเดียวกับ การที่มีข่าวว่า หนุ่มเหน้ารายหนึ่งรับประทานไส้เดือนเป็นอาหารบำรุงพลังเพศเป็นประจำ จนมีพลังเพศที่สมบูรณ์ ก็เพราะเขาเชื่อว่าจะได้ผลมันก็ได้ผล... ก็แค่นั้นเอง และน่าจะเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่คนอื่นไม่ควรจะเลียนแบบ!! ที่จริงแล้ว อาหารเสริมพลังเพศนั้น มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า... APHRODISIAC อ่านว่า อะโฟรดิสิแอค เป็นคำที่มาจากคำว่า APHRODITE... อะโฟรไดท์... เป็น "เทพธิดาแห่งความรัก" ในยุคกรีกโบราณ เชื่อกันว่า เทพธิดาองค์นี้ จุติมาจากพรายน้ำฟองคลื่นในท้องทะเลอิเจียน เมื่อเป็นดังนี้ จึงเชื่อกันต่อๆ มาว่า อาหารทะเลต่างๆนั้น เป็นอาหารบำรุงพลังเพศชั้นดี ..ซึ่งก็น่าจะเป็นจริงส่วนหนึ่ง เพราะสามารถที่จะอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ เพราะอาหารทะเลส่วนใหญ่จะมีแร่ธาตุสังกะสีสูงกว่าอาหารชนิดอื่น และเป็นที่ทราบกันดีว่า แร่ธาตุสังกะสีนั้น เป็นแร่ธาตุที่มีความจำเป็นสำหรับร่างกาย ที่จะนำไปผลิตเป็นฮอร์โมนแห่งพลังทางเพศ... ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ที่เป็นฮอร์โมนหลักของเพศชายนั่นเอง

ชาย จึงเกิดมาพร้อมกับพลังทางเพศที่ขับดัน โดยฮอร์โมนที่ชื่อว่า 'เทสโทสเตอโรน' และพร้อมที่จะปฏิบัติการอันสุนทรีย์ที่จะแสดงพลังแห่งเพศชายออกไป ผู้ชายที่มีปริมาณฮอร์โมนเพศชายในร่างกายเป็นปกติ จึงเป็นผู้ชายที่มีพลังทางเพศสมบูรณ์ โดยไม่จำเป็นจะต้องแสวงหาอะไรเพิ่มเติมอีก และผู้หญิงที่มีปริมาณฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนอย่างสมบูรณ์ ก็จะมีพลังทางเพศที่สมบูรณ์และเหลือเฟือเช่นกัน เพราะส่วนหนึ่งของฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเปลี่ยนเป็นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ที่ทำให้พวกเธอสามารถสนองตอบ ต่อการกระตุ้นทางเพศเมื่อได้รับการปลุกเร้าอารมณ์จากชายคนรักของเธอ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน จึงเป็นพลังทางเพศ พลังเซ็กซ์อย่างแท้จริง!!! และฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนนี้ เป็นฮอร์โมนธรรมชาติที่สามารถทำให้มีการ ผลิตออกมาได้ ในปริมาณที่สูงทั้งชายและหญิง ...แต่ผู้ชายวัยทอง อาจต้องการฮอร์โมนเพศชายเสริม ถ้ามีความจำเป็น เพราะการผลิตไม่พอเพียง เคล็ดลับดังต่อไปนี้ จึงน่าจะเพิ่มปริมาณการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนให้เพียงพอ ที่จะมีพลังเพศที่สมบูรณ์ทั้งชายและ หญิงเข้านอนแต่หัวค่ำ ไม่ควรจะเกินห้าทุ่ม ดีที่สุดน่าจะเป็น 4 ทุ่ม เพราะจะทำให้หลับสนิท เวลา 2 ยาม ซึ่งจะเป็นเวลาที่ระบบฮอร์โมนของการเจริญพันธุ์เริ่มทำงาน

ตื่นเช้าขึ้นมา รับประทานอาหารเช้าที่ครบถ้วนทุกหมวดหมู่ อาหารเช้าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ในการที่จะมีพลังทางเพศที่สมบูรณ์ อย่างน้อยกล้วย 1 ลูก ส้ม 1 ผล และนม 1 แก้ว สำหรับคนที่เร่งรีบออกกำลังกาย เป็นประจำสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง มีเวลาพักผ่อนให้พอเพียง หาทางผ่อนคลายความเครียด ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะไปสปา ฟังเพลง ร้องเพลง นวดสัมผัส ฯลฯ ใช้งานอวัยวะของรักของหวงเป็นประจำสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมรักกันเป็นประจำ หรือการสุขสมด้วยตนเอง เมื่อคู่ของตนไม่พร้อม อย่าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ใช้งาน และอย่าลืมเด็ดขาดว่า...ของอะไรไม่ใช้ ย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ว่าแต่ว่า ...วันนี้คุณใช้งานหรือยัง???


ที่มา เนชั่นสุดสัปดาห์

Powered by ScribeFire.

6 ลีลาเซ็กซ์ "ฉบับคนอ้วน"

คนน้ำหนักเกินก็มีอารมณ์เซ็กซ์เหมือนคนปกตินี่ละ เพียงแต่เนื้อหนังและไขมันที่พอกพูนจนล้นเกินอาจทำให้เกิดอาการติดขัดคับข้อง ดูเงอะงะเฟอะฟะจนเสียบรรยากาศ ไม่ต้องน้อยใจที่เกิดมาอวบระยะสุดท้ายหรอกค่ะ WP ขอเสนอลีลาการเล่นรัก เทคนิคนี้สำหรับคนเจ้าเนื้อโดยเฉพาะ
  1. หมอนเพื่อนรัก : เริ่มด้วยท่ามิชชันนารีซึ่งเป็นท่าร่วมรัก พื้นฐานมาแต่ดึกดำบรรพ์ อาจไม่ใช่ลีลาที่เจ๋งสุดๆ แต่ถือเป็นหน้าที่ของคู่รักทุกคู่ที่ต้องปฏิบัติ สำหรับคู่ที่น้ำหนักเกินพิกัด แน่นอนว่าต้องใช้หมอนเป็นตัวช่วยเมื่อเล่นท่านี้ จำนวนของหมอนมากน้อยขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว หนุ่มอ้วนควรวางหมอนสักสองใบไว้ใต้สะโพกของผู้หญิง แล้วจัดมุมให้ได้องศาพอดีสำหรับสอด ใส่อย่างราบรื่น ในท่าคุกเข่า ให้เขาใช้มือบาลานซ์ตัวเอง ค่อยเป็นค่อยไป ดึงมือเขามาลูบไล้ตัวเราไปด้วย ไอเดียเพื่อสร้างความเพลิดเพลินมากกว่าตั้งหน้าตั้งตาปั่มปั๊มอย่างเดียว ท่านี้เหมาะกับคู่รักทุกไซส์ค่ะ

  2. ตะแคงแยงรัก : ผู้หญิงนอนตะแคงงอเข่า หนุนหมอนไว้ใต้สะโพก จากนั้นให้เขาเข้าหาจู่โจม อย่าลืมปลุกอารมณ์ก่อนด้วยการกอดจูบนัวเนีย ถ้าหมอนทำให้อึดอัดไม่ถนัด เอาออกก็ได้ค่ะ หลังจากนั้นลองต่อด้วยท่าน้องหมา คุกเข่าโก้งโค้งแล้วยกขาข้างหนึ่งพาดบ่าของเขาเอาไว้ ช่วยให้สอดใส่ได้ล้ำลึกสุดๆ เชียวค่ะ

  3. ผู้หญิงอยู่ข้างบน : สำหรับคู่ที่น้ำหนักตัวมโหฬาร พุงย้วยทั้งคู่ ท่านี้ฟังดูไม่เวิร์ก แต่ยังพอมีหนทางแก้ไข ด้วยการเอาหมอนหนุนใต้สะโพกฝ่ายชาย เพื่อให้ผู้หญิงโยกได้ มันถึงใจ มีเทคนิคนิดหน่อยคือ ฝ่ายหญิงตั้งเข่าแล้วเอนหลังวางมือรับน้ำหนักตัวเอง ใช้ขาควบคุมการเคลื่อนไหวเด้งตัวขึ้นลงเป็นจังหวะ เมื่อผ่านไปสักพักฝ่ายชายลองชันเข่าตั้งขึ้นให้ผู้หญิงเอนหลังพิงบรรเทาความเมื่อย ท่านี้กระตุ้นคลิตอริสแบบเน้นๆ เลยเชียว

  4. สองขาพันเกี่ยว : ในท่ามิชชันนารี ผู้หญิงวางขาสองข้างไว้บนไหล่ของผู้ชาย หนุนหมอนไว้ใต้สะโพกจนลอยไม่แตะเตียง ควรระวังไม่ให้ฝ่ายหญิงรู้สึกอึดอัดคับข้อง บางครั้งมัวแต่กังวล เกร็งตัวไว้ไม่กล้าทิ้งน้ำหนักลงบนไหล่ตรงๆ ผู้หญิงสุขสมเพลิดเพลินหรือไม่ดูได้จากการเกร็งขา หากกำลังเสียวซ่านละก็ ผู้หญิงจะเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังขณะกำลังเวิร์กเป็นจังหวะ เพื่อเพิ่มความเสียวซ่านเร่าร้อน ให้เขาลูบไล้เรียวขาเราเบาๆ สลับกับหันไปจูบข้อเท้า โอ้วพระเจ้า!

  5. น้องหมาสี่ขา : ในกระบวนการมีเซ็กซ์แต่ละครั้ง สิ่งที่ขาด ไม่ได้คือ ท่าน้องหมาท้ารัก ซึ่งเป็นท่าที่คู่รักทุกไซส์งัดมาใช้ได้เวิร์กตลอด ในกรณีที่ฝ่ายชายเป็นหนุ่มพุงหลามเพราะซดเบียร์เป็นน้ำ ไขมันทั้งหลายจึงพอกพูนห้อยย้อยบริเวณหน้าท้องส่วนล่าง ท่านี้ก็ยังใช้ได้ ไม่เสียอารมณ์ค่ะ แต่ก่อนลงมือส่งแรงกระแทกใส่บั้นท้ายสาว ผู้ชายควรเอื้อมมือจากด้านหลังโอบกอดเธอ แล้วนวดเฟ้นคลึงเคล้าหน้าอก หน้าใจกระตุ้นอารมณ์สาวให้ระอุ จากนั้นค่อยลงดาบเร่งสปีดเลยค่ะ

  6. ลองของใหม่ : ยังมีท่วงท่าลีลาอีกมากมายรอคอยให้เราบรรเลงเพื่อความสุขสม เพียงแต่ต้องใช้หัวคิดไอเดียสร้างสรรค์บ้างนิดหน่อย อย่ากลัวที่จะลองอะไรใหม่ๆ เพราะนี่คือวิธีเดียวที่จะรู้ว่าตัวเองชอบอะไร หาเวลาเปิดอกคุยกันว่าอีกฝ่ายชอบอะไร โปรดปรานแบบไหน เผลอๆ ชีวิตเซ็กซ์อาจอิ่มเอมกว่าคนผอมๆ หุ่นดีๆ ด้วยซ้ำไป




Powered by ScribeFire.

Sex แบบไหน...ได้ "ลูกชาย" หรือ "ลูกสาว"

มนุษย์มนุษย์เรา ดูจะวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์มากกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ที่มีบนโลกเรานี้เลยนะครับ มีเพศสัมพันธ์เพื่อแสดงความรักก็ได้ เพื่อความบันเทิงก็ได้ เพื่อมีลูกก็ได้…

ดิฉันเป็นสะใภ้คนจีนค่ะ และเป็นสะใภ้คนโตของครอบครัว ทุกคนคาดหวังอยากได้หลานชายเป็นคนแรก ไม่ทราบว่ามีวิธีไหนที่จะทำให้ได้ลูกชายบ้างไหมคะ เคยได้ยินว่าเพศสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับช่วงเวลาไข่ตก จะช่วยเลือกเพศลูกได้จริงหรือเปล่าคะ (อยากใช้วิธีธรรมชาติค่ะ)
นัดดา/ภูเก็ต
เรื่องมันมายุ่งเหยิงก็ตรงที่บางทีคนเราก็ไม่ค่อยจะพอใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มีลูกก็เหมือนกัน บ้างก็อยากได้ลูกชาย บ้างก็อยากได้ลูกสาว แต่ส่วนมากมักจะอยากได้ลูกชายมากกว่า โดยเฉพาะคนจีน ที่อยากมีลูกชายเอาไว้สืบสกุลบ้าง เอาไว้ดูแลรักษาสมบัติบ้าง เพราะหลายๆ คนคิดว่ามีลูกสาวแล้วเดี๋ยวก็ต้องยกให้คนอื่นไป ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ไปชั่วชีวิต แต่ผมว่ามันขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู การผูกพันกันมากกว่า ถึงแม้จะมีลูกชาย พอมีเมียมันก็อยากจะแยกออกไปสร้างครอบครัวของเขาอยู่ดี ยังไงก็อย่าไปหวังเลยครับว่าเขาจะอยู่กับเราชั่วชีวิต แล้วเท่าที่เห็น ลูกสาวนี่แหละที่จะคอยเป็นห่วงเป็นใยมาดูแลพ่อแม่มากกว่าลูกชายเสียอีก

บางทีหากไม่ได้ลูกชายตามที่คาดหวังไว้ ทั้งสามี ทั้งแม่สามีก็มักทึกทักเอาว่า เป็นเพราะคุณเธอฝ่ายหญิงนี่แหละที่ไม่ยอมท้อง ไม่ยอมคลอดออกมาเป็นผู้ชาย ฝ่ายคุณแม่ก็ต้องก้มหน้าก้มตา นึกว่าเป็นเพราะตัวเองถึงไม่ได้เพศลูกตามที่ใครๆ ต้องการ…

อสุจิ จอมบงการ (เพศ)
--------------------------------------------------

การที่ไม่ได้เพศลูกตามที่ต้องการนั้นต้องโทษผู้ชายมากกว่าครับ เพราะตัวกำหนดเพศก็คือ ตัวอสุจิของผู้ชายนั่นเอง ซึ่งอสุจิก็จะมีตัวอสุจิตัวผู้กับอสุจิตัวเมีย ถ้าอสุจิตัวผู้ไปถึงไข่ก่อน เจาะเข้าไปปฏิสนธิก่อนก็จะได้ลูกชาย แต่ถ้าอสุจิตัวเมียเจาะเข้าไปปฏิสนธิก่อนก็จะได้ลูกสาว ไข่ของผู้หญิงไม่ได้มีส่วนในการกำหนดเพศเลยครับ …เพราะอย่างนี้หากไม่ได้เพศตามที่ต้องการจะได้รู้ไว้เลยว่าเป็นความผิดของฝ่ายชายแต่เพียงผู้เดียว

พอรู้ว่าอสุจิของผู้ชายนี่เองที่เป็นตัวกำหนดเพศ นักวิทยาศาสตร์ก็เลยลองทำการศึกษาเจ้าอสุจิตัวผู้กับตัวเมียดู จับมาวิ่งแข่งกัน เอามาจับแช่กรดแช่ด่างดูว่ามันจะทนร้อนทนหนาวกันแค่ไหน ก็พบว่า เจ้าอสุจิตัวเมียจะตัวใหญ่อวบอั๋นกว่า อึดทนทานกว่า วิ่งช้ากว่า แต่ถ้าอยู่ในภาวะกรดอ่อนๆ จะวิ่งได้ดีกว่า ส่วนอสุจิตัวผู้จะตัวเล็กปราดเปรียวกว่า แต่ก็ใจเสาะ วิ่งไปได้ไม่เท่าไรก็หมดแรงเสียแล้ว แต่จะวิ่งได้เร็วกว่าอสุจิตัวเมีย ยิ่งเป็นด่างอ่อนๆ ก็ยิ่งชอบ


เซ็กซ์ห่างๆ ได้ลูกชาย
--------------------------------------------------

พอคนเราแอบไปรู้ความลับของเจ้าตัวอสุจิเข้าก็เอามาใช้ประโยชน์ทันที คนที่อยากได้ลูกชายก็ต้องพยายามให้มีเพศสัมพันธ์ในวันที่ไข่ตก พอดี เพราะวันที่ไข่ตกพอดีนั้น ช่องคลอดก็จะมีความเป็นด่างสูง แล้วก็ต้องให้ถึงจุดสุดยอดพร้อมๆ กันอีกด้วยนะ เพราะตอนที่ถึงจุดสุดยอดผู้หญิงเราจะหลั่งน้ำที่มีภาวะเป็นด่างออกมา เชื้ออสุจิตัวผู้ก็จะวิ่งฉิวเลยครับ

ดังนั้นหากอยากจะได้ลูกชาย ฝ่ายคุณสามีก็ต้องเหนื่อยหน่อย ต้องพยายามทุกวิถีทางให้ภรรยาถึงจุดสุดยอดให้ได้ หากกลัวไม่ชัวร์ก็ให้เอาโซเดียม ไบคาร์บอเนต 1 ช้อนชา ใส่น้ำ 1 ขวดแม่โขงหรือ 750 ซีซี เขย่าให้เข้ากัน สวนล้างช่องคลอด แค่นี้ช่องคลอดก็เป็นด่างสมใจ แถมเวลาปล่อยอสุจิออกมาก็ต้องปล่อยให้ลึกที่สุดเท่าที่ทำได้ เนื่องจากตัวผู้วิ่งเร็วแต่ก็วิ่งไปได้ไม่ไกล หากปล่อยเชื้อตื้นๆ เดี๋ยวมันจะวิ่งไปไม่ถึง เขาว่ากันว่าการมีเพศสัมพันธ์ในท่าเข้าทางด้านหลัง จะสามารถสอดใส่เข้าไปได้ลึกที่สุด แล้วต้องกดไว้ลึกๆ ด้วยนะครับ ลองดูก็แล้วกัน

แล้วหากอยากได้ลูกชายก็ต้องไม่ยุ่งกันบ่อยด้วย เรียกว่าเก็บอั้นน้ำเชื้อไว้ขุนเอาไว้ ให้อ้วน พอถึงวันตกไข่ก็ยุ่งกันทีเดียวพอ เรียกว่า ยิงนัดเดียว จะมีโอกาสได้ลูกชายเยอะกว่า แต่ถ้าหากยุ่งกันบ่อยๆ ถี่ๆ วันหนึ่งสามเวลา วันหยุดเพิ่มรอบเช้า เรียกว่ายิงรัวกันเป็นชุด ก็มักจะได้ลูกสาวเสียมากกว่า…มิน่าเล่า…ผู้ชายเจ้าชู้ ชอบมีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ เลยมักมีแต่ลูกสาว

แล้วก็คงเป็นเพราะอย่างนี้มั้งที่ลูกคนหัวปีมักจะเป็นลูกสาวมากกว่าลูกชาย เพราะตอนแต่งกันใหม่ๆ ข้าวใหม่ปลามันก็คงต้องมีอะไรกันถี่อยู่แล้ว ยิ่งถี่ก็ยิ่งมีโอกาสได้ลูกสาวมากกว่า พออยู่กันไปนานๆ ชักจะหมดแรง บางทีเดือนหนึ่งยุ่งกันแค่ทีสองที เลยมีโอกาสได้ลูกชายมากกว่า แต่ก็ไม่แน่เสมอไปนะครับ เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกเยอะแยะ

เซ็กซ์ถี่ๆ มีลูกสาวจ้า
--------------------------------------------------

แล้วหากยากได้ลูกสาวละก็ ต้องมีเพศสัมพันธ์กันบ่อยหน่อย แล้วต้องไม่ใช่วันที่ไข่ตกด้วยนะ อาจจะก่อนสักวัน หรือหลังหนึ่งวันก็ได้ เพราะตอนนั้นช่องคลอดจะมีความเป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งอสุจิตัวเมียจะวิ่งได้ดีกว่า แล้วถ้าหากอยากได้ลูกสาว ฝ่ายหญิงก็ต้องกัดฟันทนอย่าให้ถึงจุดสุดยอดด้วยนะครับ เดี๋ยวเกิดถึงขึ้นมาก็จะหลั่งน้ำที่เป็นด่างออกมา ตัวผู้มันจะวิ่งตัดหน้าไปถึงไข่ซะก่อนเลยอดได้ลูกสาว เพราะดันไปถึงจุดสุดยอดซะนี่ เวลายุ่งกันก็ไม่ต้องให้คุณสามีเล้าโลมมาก พยายามนึกถึงหน้าเจ้าหนี้ คิดถึงพระถึงเจ้าไว้ หรือไม่ก็นอนอ่านขายหัวเราะไปพลางๆ ก็ได้ ถ้าไม่ชัวร์ก็อาจสวนล้างด้วยน้ำ 1 ขวดแม่โขง ผสมน้ำส้มสายชูลงไป 1 ช้อนโต๊ะ ให้ช่องคลอดเป็นกรดอ่อนๆ แต่ไม่ใช่อยากได้ลูกสาวมากเล่นใช้น้ำส้มสายชูล้างทั้งขวดนะครับ เดี๋ยวของสำคัญจะแสบพองไปหมด ไม่ต้องมีอะไรกันพอดี

แล้วถ้าอยากได้ลูกสาวก็ต้องปล่อยน้ำเชื้อตื้นๆ ด้วย เชื้อตัวเมียถึงแม้จะอ้วนอุ้ยอ้าย แต่จะอึดว่ายไปได้ไกลกว่า จะยุ่งกันท่าไหนก็ได้ตามถนัด แต่ตอนจะปล่อยน้ำอสุจิก็ให้ถอยออกมาปริ่มๆ หน่อยก็แล้วกัน โดยมากแล้วผู้ชายเราจะถึงจุดสุดยอดในจังหวะดันเข้ามากกว่าจังหวะถอนออกซะด้วย ยิ่งตอนสำคัญอย่างนี้บางทีก็หน้ามืดลืมซะทุกทีว่าต้องถอยออกมาปล่อยตื้นๆ …นึกขึ้นได้ก็ปล่อยออกมาจนคอพับคออ่อนไปก่อนซะแล้ว

ก็ยังสงสัยเหมือนกันนะครับว่าผู้ชายที่มีอวัยวะเพศยาวๆ ปล่อยเชื้อได้ลึกๆ น่าจะมีโอกาสได้ลูกชายมากกว่าลูกสาว ส่วนพวกอวัยวะเพศสั้นๆ ปล่อยเชื้อได้ไม่ค่อยลึกก็มักจะได้ลูกสาวมากกว่าลูกชาย แต่ยังหาไม่เจอครับว่ามีใครศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันบ้างหรือเปล่า เจอแล้วจะบอกละกัน

เซ็กซ์ เลือกเพศ ไม่ง่ายนะ…
--------------------------------------------------

ขั้นตอนที่ดูจะลำบากสำหรับการเลือกเพศแบบธรรมชาตินี้ก็เห็นจะเป็นตอนสวนล้างช่องคลอดนี่แหละครับ จะเอามาล้างข้างนอกอย่างเดียว โดยมากแล้วไม่ได้ช่วยอะไร เพราะน้ำยาสวนล้างไม่สามารถเข้าไปถึงภายในช่องคลอดได้ ความเป็นกรดด่างของช่องคลอดก็ยังคงเหมือนเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลง จะกรอกเข้าไปก็เห็นจะยาก เพราะช่องคลอดมันจะปิดอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะให้ได้ผลจริงๆ ผมว่าเห็นจะต้องใช้อุปกรณ์สวนล้างช่องคลอดล้างเข้าไปถึงข้างใน อย่างนี้ถึงจะชัวร์

เวลามีเพศสัมพันธ์ถ้าจะให้ดีก็ต้องรู้สึกผ่อนคลาย เคลิบเคลิ้มสบายๆ มันถึงเป็นเพศสัมพันธ์ที่น่าประทับใจ แต่ถ้าหากต้องลุกขึ้นมานั่งสวนล้างช่องคลอดยักแย่ยักยันคั่นรายการ จะเข้านอนวันไหนแล้วมีอะไรกันวันไหน ปกติแล้วมันไม่สามารถบอกกันได้ล่วงหน้าหรอกครับ แล้วแต่อารมณ์ แต่ถ้าอยากจะเลือกเพศก็ต้องงดวันนี้นะ ต้องยุ่งกันวันนี้นะ ไม่มีอารมณ์ก็ต้องทำไปตามหน้าที่ บางคนเครียดกับเรื่องนี้มากจนเกิดอาการไม่แข็งตัวเลยก็มี

แล้วคนเราบางทีก็ไม่ได้ท้องกันง่ายๆ หรอกครับ ผ่านไปเดือนหนึ่งก็ยังไม่ท้อง สองเดือนก็ยังไม่ท้อง สามเดือน สี่เดือน บางทีก็เหมือนจำใจต้องมีเพศสัมพันธ์ตามวันที่กำหนด ต้องสวนล้าง ต้องทำตามแบบที่กำหนดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็ทำให้ชีวิตบนเตียงเหมือนฝืนใจทำ…อยู่กันไปอยู่กันมาก็เครียดกันเปล่าๆ

การเลือกเพศโดยวิธีธรรมชาตินี้ตามทฤษฎี เขาว่ามีโอกาสได้เพศที่ต้องการเพียงแค่ 60-70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเองครับ แต่ผมว่าไม่ว่าจะทำยังไงโอกาสที่จะได้เพศลูกมันก็ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมหรอกครับ เพราะเราไม่ได้จับเชื้ออสุจิตัวผู้กับตัวเมียมาวิ่งแข่งกันเป็นเส้นตรงจากปากมดลูก มุดเข้าไปในมดลูก ว่ายแข่งกันไปจนถึงปีกมดลูก แล้วเข้าไปเจาะไข่

เพราะเชื้ออสุจิมันไม่มีลูกตา ไม่มีระบบนำวิถี มันจะว่ายสะเปะสะปะไปเรื่อยๆ ด้วยความที่มันเคลื่อนไม่แน่ไม่นอนนี่แหละก็เลยทำให้จำนวนเชื้ออสุจิตัวผู้กับตัวเมียไปถึงไข่ในเวลาไม่แตกต่างกันนัก จำนวนเชื้อโดยเฉลี่ยแล้วก็ไม่แตกต่างกันเลยครับ ยังไงเสียโอกาสได้เพศที่ต้องการมันก็ห้าสิบห้าสิบเหมือนเดิม

ก็อย่าไปซีเรียสเลยครับ ลูกสาวหรือลูกชายก็ลูกเราเหมือนกัน ขอให้สมบูรณ์แข็งแรง เติบโตมาเป็นเด็กดีของพ่อของแม่ เป็นคนดีของสังคมก็พอใจแล้ว…อย่าไปเครียดอย่าไปคาดหวังเลย… ปล่อยตัวปล่อยใจสบายๆ มีเพศสัมพันธ์ให้มีความสุขดีกว่านะครับ

ที่มา นิตยสารดวงใจพ่อแม่

Powered by ScribeFire.

"กอด" ใครคิดว่าไม่สำคัญ

หากรักไม่รู้จักกอด เซ็กซ์บอดไปแล้วถึงครึ่ง

การแสดงออกถึงความรักความเสน่หานั้นมิใช่เพียงคู่รักหญิงชายที่จำเป็นต่อการแตะต้องสัมผัส แต่ธรรมชาติของการแสดงออกต่อการรับรู้ในรักนั้น อาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องของสัตว์โลกที่เข้าใจความลึกซึ้งของการใกล้ชิด

ดูลูกสุนัขหรือพ่อสุนัขแม่สุนัขเป็นตัวอย่าง ที่นอกจากเห็นและการเข้ามาดอมดม เพื่อแน่ใจกับการจดจำแล้วยังต้องการการแตะต้องสัมผัส ลูบหัว เกาคาง เกาท้อง ไปจนถึงกอดรัดเล่นหัวเล่นหางหยอกล้อ แต่นั่นแหละ ถึงเจ้าของจะไม่ชอบการกอดรัดสัมผัสสัตว์เลี้ยงประเภทนี้ เจ้าตัวก็ยังยินดีทุกครั้งที่เห็น กระดิกหางริกๆ เข้าหา หรือถึงขนาดกระโตง 2 ขาเข้าใส่ก็มี ไม่จำเป็นว่าเจ้าของจะสนองตอบตัวแค่ไหน

ผิดกันกับมนุษย์ตรงนี้เอง เด็กจำนวนไม่น้อยที่ไม่กล้าแสดงออกอย่างที่อยากจะแสดงกับพ่อและแม่ หากว่าผิดไปจากที่พ่อแม่เคยแสดงอยู่ ลูกหลายคนที่เคยเห็นเพื่อนๆ กับพ่อแม่ของเพื่อนๆ กอดรัดกันเวลาไปรับไปส่งที่โรงเรียน อาจอยากทำเช่นเดียวกันนั้นบ้าง หรือได้รับการแสดงออกเช่นเดียวกันนั้นบ้าง แต่หากพ่อแม่ไม่เคยแสดงท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมถึงขนาดกอดรัด ประเล้าประโลม ไม่ว่าที่บ้านหรือที่สาธารณะ

เด็กก็คงได้แต่เก็บความต้องการไว้ภายใน ด้วยความโหยหาและข้องใจ ว่าทำไมพ่อแม่ไม่เคยทำอย่างเดียวกันนั้นบ้าง ช่วงหนึ่งจึงถึงกับมีคำชักชวนว่า วันนี้คุณกอดลูกแล้วหรือยัง

เนื่องจากการแสดงออกด้วยการแตะต้องสัมผัส และใกล้ชิดลึกซึ้งถึงขนาดกอดรัดนั้น เป็นการแสดงออกที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น มั่นคง ผูกพันอย่างกระชับแน่นเหมือนกับอาการกอดรัด

คนเราจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของการแตะ ต้องสัมผัส ระหว่างเพื่อนระหว่างผู้คน ไม่ว่าการจับมือ คนนั้นหนักแน่นจริงใจ คนนี้แตะพอเป็นพิธี คนโน้นกุมทีเดียวสองมืออย่างเปิดเผย ฯลฯ เหล่านี้เหมือนกับการกอด

เด็กก็รู้สึกได้เหมือนกัน และสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำ ว่าเพื่อนของพ่อกับแม่คนนี้ กอดๆ ไปอย่างนั้นเอง คนนั้นทั้งกอดทั้งรัดทั้งหอมแล้วหอมอีก อีกคนก็เดี๋ยวกอดเดี๋ยวดูเดี๋ยวเชยคิ้วเชยคาง ฯลฯ แตกต่างกันออกไป

พ่อแม่จำนวนไม่น้อยอาจนึกไม่ถึงว่า ที่ลูกต้องการที่สุด ไม่ใช่เงินทองไม่ใช่ของเล่นที่พ่อแม่ให้ชดเชยเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วย แต่เป็นความรัก ความรักที่สามารถแสดงออกได้อย่างดีด้วยการกอดรัดสัมผัส

และเช่นเดียวกันอย่างนึกไม่ถึง หญิงจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน ที่อาจยังไม่เคยพบความสุขที่สุดจากการเสน่หา ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขมาจากฝ่ายใด แต่เธอจะพูดคล้ายคลึงกันว่า ที่จริง เพียงแต่อีกฝ่ายกอดเธอไว้ ใกล้ชิดแตะต้องสัมผัสเธอ ให้รู้สึกถึงความผูกพันที่สร้างความอบอุ่นมั่นคงให้ในความรู้สึก

เธอก็อิ่มอกอิ่มใจมากแล้ว เธอปรารถนาอ้อมแขนอันสม่ำเสมอของอีกฝ่ายเสียยิ่งกว่าความสุขในเพศรสชั่วครั้งชั่วครู่เสียอีก

รู้ความสำคัญของการกอดกันหรือยัง


Powered by ScribeFire.

เข้าห้องน้ำยังไงไม่ให้ติดเชื้อ

เชื้อพวกนี้อาจแฝงอยู่ตามจุดต่างๆ ของห้องน้ำ เช่น ชักโครก อ่างล้างมือ หรือแม้กระทั่งลูกบิดประตู แต่โอกาสที่เราจะติดเชื้อพวกนี้จนทำให้เกิดโรคหรือเป็นอันตรายนั้นน้อยมาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุผลที่ว่า
  1. เชื้อพวกนี้จะสามารถก่อให้เกิดโรคได้ ต้องมีปริมาณที่มากพอ เราอาจไปสัมผัสกับเชื้อพวกนี้ก็จริง แต่ปริมาณไม่มาก จึงไม่เกิดอันตรายใดๆ

  2. เชื้อพวกนี้มักจะเจริญเติบโตได้ดีในร่างกายคนเรา แต่เมื่อออกมาสัมผัสกับแสง และอุณหภูมิภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป เชื้อมักจะมีชีวิตอยู่ไม่นานพอที่จะติดต่อไปสู่คนอื่น

  3. เชื้อพวกนี้จะก่อให้เกิดโรคได้ ต้องมีหนทางที่จะผ่านเข้าไปในร่างกายของคนเรา เช่น ผ่านเข้าทางผิวหนังที่มีแผล หรือรับเข้าทางปาก การที่เราไปสัมผัสและเชื้อนั้นติดอยู่กับผิวหนังเฉยๆ จะไม่ทำให้เกิดโรค เพราะผิวหนังเป็นปราการด่านแรกที่ป้องกันการติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้เป็นอย่างดี

  4. หากได้รับเชื้อเข้าไปจริง ร่างกายของเรามีระบบภูมิคุ้มกันที่คอยจัดการเจ้าเชื้อโรคแปลกปลอมนี้อยู่แล้ว
น.พ.เชิดพงษ์ แนะนำวิธีปฏิบัติตัวแบบง่ายๆ เพื่อป้องกันการรับเชื้อโรคจากการเข้าห้องน้ำสาธารณะไว้ว่า ใช้เวลากับการทำกิจธุระในห้องน้ำสาธารณะให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้ชักโครก เลือกที่ดูสะอาด ทำความสะอาดที่รองนั่งด้วยกระดาษทิชชูสักหน่อย แล้วจึงใช้งาน ไม่ต้องถึงกับใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ ที่สำคัญเมื่อเสร็จกิจธุระแล้วต้องล้างมือทุกครั้ง เพื่อไม่ให้มีเชื้อโรคติดมากับมือของเรา

Powered by ScribeFire.

กาม..ตายด้านของผู้ชาย

เป็นอาการที่องคชาตไม่สามารถแข็งตัวเต็มที่ หรือแข็งตัวพอที่จะร่วมเพศได้

ประเภท แบ่งได้เป็น 3 แบบ
  1. แบบปฐมภูมิ (Primary Impotence) คือ อาการที่องคชาตไม่เคยแข็งตัวเต็มที่ หรือแข็งตัวพอจะร่วมเพศไดสำเร็จเลย และไม่มีการกระตุ้นใด ๆ จะทำให้มันเกิดการแข็งตัวขึ้นมาได้

  2. แบบทุติยภูมิ (Secondary Impotence) คือ การที่องคชาตเคยแข็งตัวได้มาก่อน และร่วมเพศได้แต่ต่อมาเกิดความผิดปกติภายหลัง

  3. แบบชั่วคราว (ransien Episode) คือ การที่องคชาตไม่แข็งตัวเป็นครั้งคราว หรือในบางสถานการณ์ อาการนี้เกิดได้ประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรชายทั้งหมด
สาเหตุสำคัญมี 2 สาเหตุ
  1. สาเหตุทางกาย
    • ระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำ
    • ความผิดปกติของเส้นโลหิตและกลไกของระบบประสาท ที่ควบคุมการแข็งตัวขององคชาต
    • โรคเบาหวาน
    • โรคตับ
    • โรคของระบบประสาท เช่น Multiple Sclerosis ,เนื้องอกของไขสันหลังส่วนล่าง
    • ยาหรือสารเสพติดบางอย่าง เช่น สุรา สูบบุหรี่

  2. สาเหตุทางจิตใจ
    • ความขัดแย้งในจิตใจซึ่งฝังลึกมาจากช่วงวัยเด็ก เกี่ยวกับเรื่องชีวิตสมรสทำให้กลัวการร่วมเพศ
    • วิตกกังวลกลัวการร่วมเพศจะล้มเหลว
    • วิตกกังวลกลัวจะให้ฝ่ายหญิงมีความสุขได้ไม่เต็มที่
    • ถูกเรียกร้องหรือเหยาะยันจากฝ่ายหญิงเรื่องเพศ
    • การเกิดอารมณ์เศร้า
    • การมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อคู่นอน
ผลกระทบของกามตายด้าน
  1. กามตายด้านจะก่อให้เกิดความวิตกกังวลหรือความเศร้า ยิ่งมีความวิตกกังวลมากเท่าใด ก็ยิ่งจะก่อให้เกิดกามตายด้านถาวรยิ่งขึ้น

  2. กามตายด้านจะก่อให้เกิดความไม่ปรองดองในคู่สมรส เพราะ ฝ่ายหญิงเข้าใจผิดว่า ที่ฝ่ายชายองคชาตไม่แข็งตัว เกิดจากสามีไม่รัก หรือสามีแอบไปหาความสุขนอกบ้าน หรือแอบไปมีภรรยาน้อย และยิ่งมีความไม่ปรองดองในชีวิตคู่เท่าใด ก็ยิ่งจะก่อให้เกิดกามตายด้านถาวรยิ่งขึ้น

ที่มา ข้อมูลหนังสือพิมพ์แนวหน้า


Powered by ScribeFire.

Saturday, December 8, 2007

อาหารว่าง 10 ชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด

ในร้านสะดวกฃื้อหลายๆ ร้านนั้น ทุกๆ ครั้งที่เราเข้าไปนั้นมีสินค้ามากมาย ที่เมื่อเข้าไปนั้นจะดึงดูดความสนใจ ของเราได้อย่างมาก นั่นก็คืออาหารนั่นเอง และบางทีของเหล่านี้อาจจะไม่อยู่ในรายการที่เราไม่ได้คิดที่จะซื้อไว้ก่อน สินค้าเหล่านี้จะมีอิทธิพลอย่างมากกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากในประเทศต่างๆ หลายประเทศเลย หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่บางคนด้วย อาหารว่าง หรืออาหารทานเล่นนั่นเอง ในประเทศอเมริกานั้นดูจะสร้าง ความวิตกกังวลมากขึ้นทุกๆ ปี เพราะว่าส่วนประกอบของอาหารเหล่านี้นั้นส่วนมากจะเป็นพวกน้ำตาล สารเคมี สี และไขมัน เป็นส่วนใหญ่ และเป้นสาเหตุของโรคอ้วน และไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการเอาซะเลย

French Fries: พูดถึงสิ่งนี้คงต้องพูดถึง Mc Donald's นั่นเอง แต่เราๆ ท่านๆ นั้นอย่าเพิ่งมั่นใจ กับสิ่งที่เค้าใช้ในการทอด ที่เค้าบอกว่ามีการเปลี่ยนน้ำมันสำหรับทอดบ่อยๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ มันฝรั่งนั้นส่วนประกอบหลักเต็มไปด้วยแป้ง และเมื่อนำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัด และปรุงรสชาตินั้น อาจจะเป็นอาหารว่างที่อันตรายที่สุด

Donuts: โดนัทคือ ขนมปังที่นำไปทอด อาหารชนิดนี้ก้เต็มไปดก้วยแป้งที่นำมาใช้ทำตัวโดนัทเองแล้ว เมื่อนำไปทอดก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ามันฝรั่งทอดเลย

Chips (Potato or Corn): สิ่งนี่ก็คือมันฝรั่งทอดในรูปแบบอื่นที่แตกต่างออกไปที่ถูกนำไปใส่ไว้ในบรรจุภัณฑ์นั่นเอง แต่เราสามารถที่จะควบคุมอันตรายจากอาหารประเภทนี้ได้คือการนำไปอบแทนการทอด ซึ่งมันฝรั่ง ประเภทที่ใช้การอบแทนนั้นสามารถหาซื้อได้จากร้านอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่อาหารที่ดี และควรรับประทานบ่อยๆ อยู่ดี

Soda: บางคนอาจจะสับสนกับการรวมสิ่งนี้เข้าไปเป็นกลุ่มอาหารด้วยนั้น สิ่งนี้ไม่เพียงไม่มีคุณค่าทางอาหารยังรวมไปถึงสารเคมีอีกมากมายที่ถูกบรรจุอยู่ในผลิตภัณฑ์อีกด้วย

Cupcakes and Snack Cakes: whipped cream ที่มีไส้ครีมมันเยิ้ม และส่วนประกอบหลักๆ ก็มีแต่ แป้ง น้ำตาล และสารปรุงแต่งกลื่น รส ซึ่งไม่มีคุณค่าอาหารเลย

Candy Bars: กับเจ้าสิ่งนี้อาจจะยังพอมีคุณค่าทางอาหารให้เราอยู่บ้างกับโปรตีนประมาณ 1-2 กรัม จากถั่วที่เป็นส่วนผสม แต่ว่าปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่นั้นไม่สามารถนำมาทดแทนคุณประโยชน์ได้เลย เพราะความแตกต่างนั้นมีมากกว่ากันเยอะเลย แต่ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเภทเดียวกันคือ energy bars ซึ่งมีปริมาณแคลลอรี่น้อยกว่าถึง 1 ใน 3 มีโปรตีนมากกว่า และมีไขมันน้อยกว่าอีกด้วย แต่ยังไงก็มีคุณค่าสู้อาหารปกติไม่ได้อยู่ดี

Pork Rinds: เบคอนหรือ แคบหมูทอดในบ้านเรานั่นเอง ซึ่งข้อนี้คงไม่ต้องบอกใครๆ ก็คงทราบดีถึงสิ่งที่ได้รับจากเจ้าสิ่งนี้ว่ามีแต่ไขมันสัตว์

Fat-Free Cookies: สินค้าเหล่านี้เป็นที่น่าสงสัยในแง่ของโภชนาการ เพราะว่าถ้าดูเพียงผิวเผินอาจจะดูเหมือนอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น อาหารที่ปราศจากไขมัน ไม่ได้หมายความว่าจะปราศจากแคลลอรี่ไปด้วย ดังนั้นสรุปก็คือ ไม่สมควรรับประทานอีกนั่นแหล่ะ

Crackers: แครกเกอร์เต็มไปด้วยไขมันชนิด Trans ดังนั้นควรอ่านฉลากดูให้ดีก่อนซื้อ (Trans Fat คือ ไขมันแบบ Polyunsaturated ที่วางขายตามท้องตลาด มีการเติมธาตุไฮโดรเจนสังเคราะห์ เพื่อให้มีสถานะแข็งที่อุณหภูมิห้อง ไขมันแบบนี้ มีคุณภาพต่ำ เพราะไปลดปริมาณ HDL และเพิ่มปริมาณ LDL ในเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น

Pretzels: อาหารกลุ่มนี้เป็นที่น่าแปลกใจ เพราะเป็นอาหารที่ไม่มีไขมัน แต่ไม่มีไขมันไม่ได้หมายความว่าเป็นอาหารที่ดี เพราะ Pretzels นั่นเต็มไปด้วยแป้ง และน้ำตาล ซึ่งแอบแฝงให้ดูเหมือนอาหารเพื่อสุขภาพ

วารสารจาร์พาม

Powered by ScribeFire.

ผลไม้ล้างพิษ

ในภาวะปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องเลือกกิน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมมีผลตามมาทั้งสิ้น อาหารชนิดเดียวกันบางครั้งก็มีทั้งคุณทั้งโทษ วันนี้horapa.comขอแนะนำผลไม้ที่ใช้ล้างพิษในร่างกายค่ะ ผลไม้เหล่านี้หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปและราคาไม่แพงด้วยค่ะ

แอปเปิ้ล
เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ

องุ่น
เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

สับปะรด
มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูก

มะละกอ มะม่วง แตงโม
ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน

Powered by ScribeFire.

ผลไม้ล้างพิษ

ในภาวะปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องเลือกกิน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมมีผลตามมาทั้งสิ้น อาหารชนิดเดียวกันบางครั้งก็มีทั้งคุณทั้งโทษ วันนี้horapa.comขอแนะนำผลไม้ที่ใช้ล้างพิษในร่างกายค่ะ ผลไม้เหล่านี้หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปและราคาไม่แพงด้วยค่ะ

แอปเปิ้ล
เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ

องุ่น
เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

สับปะรด
มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูก

มะละกอ มะม่วง แตงโม
ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน

Powered by ScribeFire.