คำถาม? ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง?... จึงจะได้ผลดีและปลอดภัย
โรคเรื้อรัง...เป็นแล้ว...มักไม่หายขาด
โรคเรื้อรังเป็นโรคที่เมื่อเริ่มเป็นแล้วมักไม่หายขาดจะต้องให้การดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องตลอดไป เพื่อควบคุมอาการของโรคไม่ให้ลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเป็นอันตราย รุนแรงได้ ตัวอย่างของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหืด โรคความดันเลือด โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคข้อเข่าเสื่อม โรคไทรอยด์ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นต้น
ผู้ป่วยโรคหืดถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและทันท่วงทีก็อาจเกิดอาการจับหืด หายไม่ออกและตายได้ ผู้ป่วยโรคความดันเลือดสูงถ้าไม่ควบคุมระดับความดันเลือดให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ก็จะมีโอกาสทำให้หลอดเลือดไปเลี้ยงที่สมองเกิดอันตรายจนแตกทำให้เกิดเลือดออกในสมอง เป็นอัมพาต พิการ ทรมาน และเสียชีวิตได้เช่นกัน
โรคเรื้อรัง...โรคแห่งการสะสม
เมื่อเป็นโรคเรื้อรังแล้วจึงต้องควบคุมอาการไม่ให้ลุกลามรุนแรงด้วยการปฏิบัติตนเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าไม่สนใจเอาใจใส่ดูแลรักษาตนเองให้ดี โรคเรื้อรังที่ตนเองประสบอยู่ชนิดใดชนิดหนึ่งก็ลุกลามและรุนแรงมากขึ้น และอาจก่อให้เป็นโรคชนิดอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกได้
ตัวอย่างของโรคเรื้อรังที่แสดงอาการให้สังเกตได้เมื่อเป็นโรคเบาหวานแล้วไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี ก็จะส่งผลต่อหลอดเลือดทั่วร่างกาย ที่จะมีผลต่อระบบประสาทส่วนปลาย ไต สายตา ทำให้เกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า ไตวาย หรือสายตาฝ้าฟางได้ เป็นต้น เป็นเหมือนการเพิ่มเติมโรคหรือสั่งสมอันตราย ให้แก่ตนเองมากขึ้นๆ จึงเกิดคำว่า โรคแห่งการสะสมทำให้เป็นหลายๆ โรคโดยไม่จำเป็น และสามารถทุเลาหรือป้องกันได้ ถ้ามีการรักษาดูแล ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
กินได้ นอนหลับ...สุขีกับโรคเรื้อรัง
โรคเรื้อรังส่วนใหญ่เกิดจากการทำงานผิดปกติของร่างกาย ความเสื่อมของอวัยวะและเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดพยาธิสภาพ และแสดงอาการผิดปกติของโรคออกมาได้
แนวทางการดูแลรักษาโรคเรื้อรังเหล่านี้จะต้องเริ่มด้วยการปรับเปลี่ยนสภาพ แวดล้อม ลักษณะการดำเนินชีวิตแบะพฤติกรรม ซึ่งครอบคลุมถึงอาหาร การออกกำลังและอารมณ์ (ความเครียด) ตลอดจนการพักผ่อนที่เหมาะสมและพอเพียง เหมือนคำโบราณทีได้กล่าวไว้ว่า "กินได้นอนหลับ" ก็นับว่า "สุขี" ซึ่งอาจจะไม่ได้กล่าวถึงการออกกำลังกายไว้ที่นี้ โดยอาจจะละไว้เพราะว่าอดีตการทำมาหากินของคนไทยไม่ว่าจะทำไร่ ทำนา หรือทำสวน เรียกว่าได้ออกกำลังกายเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว บ้านเมืองเราจึงมีแต่ผู้คนที่เอื้ออาทรยิ้มแย้มแจ่มใส จนชาวตะวันตกได้มาพบเห็น จึงขนานนามว่า "สยามเมืองยิ้ม"
ถ้ามีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตและ/หรือสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม มักจะส่งผลช่วยบรรเทาอาการและความรุนแรงของโรคเรื้อรังได้อย่างดี เช่น
กินได้ ด้วยการกินอาหารในปริมาณและชนิดของอาหารอย่างเหมาะสม
นอนหลับ หมายถึง การรักษาภาวะจิตใจให้สดชื่น แจ่มใส ไม่ขุ่นมัว ไม่กังวล หรือไม่เคร่งเครียด จนเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและสภาวะจิตใจ ตลอดจนการทำงาน และการดำเนินชีวิตประจำวันได้
สุขี ด้วยการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลต่อร่างกาย ลดความเครียด และช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ของโรคเรื้อรังได้เป็นอย่างดี
นอกจากเรื่องอาหาร อารมณ์ และการออกกำลังกายแล้ว ยาเป็น 1 ในปัจจัย 4 ก็มีส่วนสำคัญในการช่วยควบคุมอาการของโรคเรื้อรังไม่ให้ลุกลามรุนแรงมากขึ้นๆ ซึ่งจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การใช้ยารักษาโรคเรื้อรัง มีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาอาการหรือควบคุมความรุนแรงของโรคไม่ให้มีอาการมากขึ้นและ/หรือลุกลามจนเกิดอันตรายได้
ดังนั้น เพื่อให้การใช้ยารักษาโรคเรื้อรังมีประสิทธิภาพ อย่างดีที่สุด พร้อมๆ กับเกิดความปลอดภัยจากการใช้ยานั้นๆ ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องใช้ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอและถูกต้อง ตามคำสั่งของแพทย์
หลักการใช้ยารักษาโรคเรื้อรังให้ได้ผลดีและปลอดภัย
เพื่อให้การใช้ยาของผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้ผลดีและปลอดภัย ซึ่งตัวผู้ป่วยหรือผู้ดูแลผู้ป่วยที่ทำหน้าที่รับยาและเป็นผู้ที่ให้ยาควรปฏิบัติมี 4 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
- การตรวจรักษาจากแพทย์
- การรับยาที่ห้องยา
- การใช้ยา
- หลังจากใช้ยา
- การตรวจรักษาจากแพทย์
การที่จะใช้ยาให้ได้ผลดีและปลอดภัย เริ่มตั้งแต่ขั้นการรับการตรวจรักษาจากแพทย์ ซึ่งระหว่างนี้แพทย์จะทำการซักประวัติความเจ็บป่วยพร้อมกับการตรวจร่างกาย และอาจจะมีการตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ ตรวจเลือด เป็นต้น
เตรียมข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยเล่าให้แพทย์ฟัง
สิ่งหนึ่งที่สำคัญนอกจากข้อมูลเกี่ยวกับความเจ็บป่วยในปัจจุบันที่แพทย์ซักถามค้นหาด้วยตัวแพทย์เองแล้ว ผู้ป่วยก็สามารถช่วยเหลือแพทย์ได้ด้วยการเตรียมข้อมูลสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยของตนเอง ทั้งอดีตและปัจจุบันให้พร้อมและเล่าให้แพทย์ฟัง ซึ่งรวมถึงเรื่องยา สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผู้ป่วยใช้เป็นประจำ ตลอดจนอาการแพ้ยา หรืออาการอันไม่พึงประสงค์ ผลข้างเคียงที่เกิดจากยา เพื่อแพทย์จะไดรับข้อมูลประกอบการเจ็บป่วยอย่างครบถ้วนส่งผลให้การวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และให้การรักษาด้วยยา และวิธีอื่นๆ ได้อย่างเหมาะสม
แจ้งเรื่องยา สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นๆ ที่ท่านใช้อยู่ด้วย
กรณีที่มีการใช้ยาจากโรคอื่นๆ สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นจำนวนมาก ผู้ป่วยอาจทำเป็นรายการหรือนำตัวอย่างพร้อมบรรจุภัณฑ์ทุกชนิดไปแสดงให้แพทย์ได้รับรู้ก่อนการวินิจฉัยโรคและให้การรักษา
บรรดายา สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายชนิด ก็อาจจะไปต้านฤทธิ์ยาที่แพทย์จะจ่าย ทำให้ผลการรักษาที่ได้น้อยลง
ขอให้แพทย์อธิบายเรื่องยาและการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ อย่างละเอียด
เมื่อแพทย์ให้การรักษา รวมถึงการสั่งจ่ายยาให้กับผู้ป่วย โดยทั่วไปแพทย์จะบันทึกไว้ในใบสั่งยา ระบุชนิด จำนวน และวิธีใช้ยา
ผู้ป่วยควรได้รับการอธิบายจากแพทย์ว่า มียาชนิดใดบ้างที่แพทย์สั่งจ่ายให้ ด้วยวัตถุประสงค์ใด มีวิธีการใช้อย่างไร และอาจจะเกิดผลต่อผู้ป่วยที่กินยาอย่างใดบ้าง คือทั้งผลดีและผลเสียของยาทั้งหมด - การรับยาที่ห้องยา
เมื่อได้รับยาจากห้องยาแล้วผู้ป่วยจะต้องตรวจเช็กยาทั้งหมดที่ตนได้รับ ดังนี้
"ถูกคน" หรือไม่ ด้วยการตรวจชื่อผู้ป่วยที่ปรากฏอยู่บนฉลากยาว่า ถูกต้องหรือไม่ เป็นของผู้ป่วยหรือไม่
"ถูกชนิด" หรือไม่ ตรวจชนิดของยา ชื่อยาข้อบ่งใช้ และจำนวนยาที่ได้รับว่า ถูกต้องตรงกับอาการความเจ็บป่วยของผู้ป่วยหรือไม่ และเป็นไปตามคำอธิบายของแพทย์หรือไม่ ถ้าเป็นยาที่ต้องใช้อย่างต่อเนื่อง และคำนวณดูว่าจำนวนเพียงพอถึงการนัดพบแพทย์ในครั้งต่อไปหรือไม่
"ถูกวิธีใช้" หรือไม่ อ่านและทำความเข้าใจวิธีการให้ยาอย่างชัดเจน ถ้ามียาใดที่ไม่เข้าใจหรือสงสัยวิธีใช้ยาจะต้องปรึกษาเภสัชกรผู้จ่ายยาจนเข้าใจก่อนกลับบ้าน
มี "ยาใหม่" หรือไม่ กรณีที่พบยาใหม่ ต้องตรวจเช็กว่าเป็นยาใหม่ตามคำอธิบายของแพทย์หรือไม่ ถ้าได้รับยาใหม่โดยที่แพทย์ไม่เคยอธิบายยาให้ฟัง จะต้องปรึกษาเภสัชกรทันที เพราะอาจผิดพลาดและเกิดอันตรายได้
มี "ยาที่มีรูปแบบพิเศษ" หรือไม่? ถ้าได้รับยามีรูปลักษณ์แปลกใหม่ ไม่คุ้นเคย จะต้องปรึกษาเภสัชกรผู้จ่ายยา เพื่อขอคำแนะนำวิธีการใช้ยาและฝึกฝนให้ถูกต้อง
"ผลข้างเคียงของยา" จะต้องสอบถามถึงผลข้างเคียงของยาที่พบบ่อยและอันตราย จะได้สังเกตหลังการใช้ยา และติดตามอาการเหล่านี้ เพื่อปฏิบัติตัวหรือหลีกเลี่ยงอาการดังกล่าวให้รบกวนการใช้ยาน้อยที่สุด หรือแจ้งต่อแพทย์ผู้สั่งจ่ายยาถ้าผลเสียนั้นเป็นอันตรายมาก
ขั้นตอนการรับยาจากห้องยาเป็นตอนที่สำคัญที่สุด ดังนั้น จะต้องตรวจเช็กยาทีได้รับว่า ถูกคน ถูกยา ถูกวิธีใช้ มียาใหม่หรือไม่? ตลอดจนมีวิธีการใช้พิเศษหรือไม่? ผลข้างเคียงของยามีอะไรบ้าง หากสงสัยหรือไม่เข้าใจ จะต้องถามเภสัชกร เพื่อให้การใช้ยาได้ผลดีมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และคุ้มค่าต่อาการใช้ยา
นอกจากนี้ จะต้องถามเภสัชกรถึงระยะเวลาการใช้ยา
ระยะเวลาที่เหมาะสมการใช้ยา
ระยะเวลาของการใช้ยาแบ่งได้เป็น 3 แบบคือ- การใช้ยาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ยาที่ใช้ควบคุมอาการหรือความรุนแรงของโรคเรื้อรัง มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ยาออกฤทธิ์อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และสามารถควบคุมอาการและความรุนแรงของโรคดังกล่าวได้อยู่ตลอดเวลา
เพื่อไม่ให้ระดับความรุนแรงของโรคลุกลามมากขึ้น อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ จึงเป็นการใช้ยาเพื่อป้องกันอันตรายจากโรคเรื้อรัง จะต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ห้ามหยุดยาด้วยตัวเองหรือหยุดยาเมื่ออาการทุเลาลงแล้ว หรือไม่มีอาการแล้วก็ตาม (ยกเว้นกรณีที่มีอาการอันไม่พึงประสงค์อย่างรุนแรง จะต้องปรึกษาแพทย์ทันที) - การใช้ยาเมื่อมีอาการเท่านั้น ตัวอย่างเช่นยาแก้ปวด ยานอนหลับ ยาระบาย ฯลฯ ยาเหล่านี้เป็นยาที่ใช้รักษาตามอาการ เพื่อบรรเทาอาการใดอาการหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมโรคเรื้อรังจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ เมื่อใดที่อาการดีขึ้นแล้ว ก็หยุดยาได้ เมื่อใดที่เริ่มมีอาการอีกจึงจะต้องใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น
- การใช้ยาติดต่อกันจนหมด ยาเหล่านี้มักจะมีฤทธิ์ต้านเชื้อโรค ใช้รักษาโรคติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัส ฯลฯ ซึ่งควรใช้ติดต่อกันจนหมดตามจำนวนที่แพทย์สั่ง เมื่อครบแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ต่อไปอีก เพราะยาเหล่านี้จะมีฤทธิ์ต้านเชื้อโรค เมื่อเชื้อหมดแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยานี้อีก
- การใช้ยาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ยาที่ใช้ควบคุมอาการหรือความรุนแรงของโรคเรื้อรัง มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ยาออกฤทธิ์อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และสามารถควบคุมอาการและความรุนแรงของโรคดังกล่าวได้อยู่ตลอดเวลา
- การใช้ยา
เมื่อกลับไปบ้านและจะต้องเริ่มใช้ยา จะต้องอ่านฉลากและวิธีใช้ทุกครั้ง ว่าใช้ครั้งละเท่าใด วันละกี่ครั้ง เวลาใด และใช้ให้ถูกต้อง ตรงตามคำสั่งแพทย์ หรือเภสัชกร และสังเกตลักษณะยาว่ายังเหมือนเดิมหรือไม่ ก่อนการใช้ยา - หลังจากใช้ยา
ขั้นตอนหลังจากใช้ยา ผู้ป่วยจะต้องติดตามผลการรักษาและหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้ยา ถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ขอให้ติดต่อกับผู้สั่งจ่ายยาในทันที เพื่อแจ้งให้ผู้จ่ายทราบและให้คำปรึกษาเพื่อการดูแลอาการผิดปกตินั้น
จะเห็นได้ว่าโรคเรื้อรังเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาดควรดูแลรักษาตามแพทย์แนะนำ เพราะถ้าไม่ดูแลตนเองให้ดี อาจทำให้โรคลุกลามเป็นหนักยิ่งขึ้น และเกิดโรคแทรกซ้อนทำให้เป็นโรคอื่นเพิ่มเติม เกิด "โรคแห่งการสะสม"
หากมีข้อสงสัยในเรื่องยาและสุขภาพ อย่านิ่งนอนใจ ควรปรึกษาแพทย์ เภสัชกร หรือเภสัชกรชุมชนที่ประจำอยู่ที่ร้านยาได้ตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อให้การใช้ยาได้ผลดี และปลอดภัยจากการใช้ยา.
No comments:
Post a Comment